เมนู
จดหมายข่าว
กล่องอิสระ
ปฎิทิน
March 2025
Sun Mon Tue Wed Thu Fri Sat
      
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
     
สถิติ
เปิดเมื่อ21/09/2012
อัพเดท12/04/2013
ผู้เข้าชม1373998
แสดงหน้า2860118
คำค้น




ตำนานฤาษี 108 ตน ตอน 8

อ่าน 15372 | ตอบ 3

พระฤษีอินทสมานโคตร...( ไม่มีรูป )

    พระฤษีองค์นี้เป็นศิษย์แสบของพระฤษีสมมิตร ในจำนวนศิษย์ทั้งหมดก็เห็นว่า มีผู้นี้แหละที่มีนิสัยดื้อรั้น ไม่ค่อยจะเชื่อฟังคำสั่งสอน มีนิสัยที่ชอบเอาแต่ใจเป็นใหญ่ พระอาจารย์จะห้ามหรือตักเตือนอย่างไรก็ไม่ยอมเชื่อฟัง เมื่อลองได้คิดว่าจะทำอะไรแล้วละก็จะต้องทำให้ได้ไม่สนใจคำต้กเตือนสั่งสอนเป็นคนดื้อรั้นที่จะต้องให้สำเร็จดังที่ตนคิดไว้  วันหนึ่งพระฤษีอินทสมานโคตรได้ออกไปทำธุระในป่าก็ได้พบกับลูกช้างตัวเล็กๆหลงแม่ จึงนำเอาลูกช้างนั้นมาเลื้ยงไว้ที่บริเวรอาศรมของท่าน เมื่อพระฤษีทั้งหลายทราบ ก็ไปบอกพระอาจารย์ว่า การที่จะเอาลูกช้างมาเลี้ยงนั้นไม่สมควร เพราะว่าวิสัยของช้างนั้นมันเป็นสัตว์ที่ดุร้าย บางตัวก็ดีบางตัวก็ร้ายดื้อรั้นเช่นเดียวกับพระฤษีบางองค์หรือคนบางคน ขึ้นชื่อว่าสัตว์ที่ดุร้ายแล้ว ไม่วันใดก็วันหนึ่งมันจะต้องทำอันตรายต่อเราผู้เป็นเจ้าของได้เสมอ ดังคำโบราณที่กล่าวเอาไว้ว่า ...ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก...    ยามดีก็จะอยู่ เมื่อยามโกรธก็จะต้องเป็นศัตรูกับเราวันยังค่ำ แล้วในที่สุดมันอาจจะฆ่าเจ้าของเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ยากเลย พระฤษีอินทสมานโคตร เมื่อถูกพระอาจารย์ว่าก็ตอบเลี่ยงๆไปว่า การที่เอาลูกช้างมาเลี้ยงไว้ก็เพราะมีใจเมตตาสงสาร ให้มันกินอย่างอุดมสมบูรณ์ดีเสียกว่าที่มันจะหากินอยู่ในป่าเสียอีก เพราะมันอาจจะหาอาหารไม่เพียงพอกับความต้องการของมันก็ได้
    พระฤษีสมมิตรก็ชักแม่น้ำทั้งห้าขึ้มาชี้แจงอีกว่า พวกเราเป็นแต่เพียงผู้ปฏิบัติ ไม่น่าที่จะต้องเอาบ่วงมาแขวนคอไม่สมควรจะเอาสิ่งผูกพันอันทำให้เป็นกังวล เราจะต้องบำเพ็ญเพียรในตบะมากกว่าจะทำกิจอย่างอื่น ไม่เหมือนกับนักเลี้ยงช้างอาชีพหรือที่เรียกกันว่าควานช้างเขามีเวลาปฏิบัติเอาใจใส่ในตัวช้างเฝ้าอบรมสั่งสอนฝึกหัดให้ช้างรู้ภาษาแล้วก็จะมีกิริยา
เชื่องและอ่อนโยนได้ตามความต้องการ อีกประการช้างนั้นเป็นสัตว์ที่เกิดในป่าตามธรรมชาติในป่านั้นเต็มไปด้วยอาหารของพวกมัน พวกมันจะไม่อดตายแน่นอนปล่อยให้มันเข้าไปอยู่ในป่าไปอยู่ตามประสาของพวกมันเถิดแล้วจะได้หมดภาระ มีเวลาบำเพ็ญเพียรได้เต็มที่
    แต่พระฤษีผู้เป็นศิษย์ก็มิยอมเชื่อฟังคงยังจะเอาชนะกับพระอาจารย์ให้ได้ จึงทำให้พระฤษีสมมิตรหมดอาลัยตายอยากไม่พูดอะไรอีก เดินเลี่ยงไปเสียทางอื่นพระฤษีอินสมานโคตรก็ยังคงเลี้ยงช้างอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งช้างมันเติบโตอย่างเต็มที่ ทำให้มีความต้องการอาหารมากขึ้น จนกระทั่งพระฤษีหาให้มันไม่ทัน    และแล้วก็ถึงคราวที่จะต้องเกิดเหตุอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้วันหนึ่งพระฤษีอินทสมานโคตรเข้าไปในป่าเพื่อจะได้หาผลไม้นำเอามาเก็บไว้ฉันเองบ้างให้ช้างกินบ้าง จึงต้องเพิ่มจำนวนผลไม้ให้มากขึ้น ทั้งภายในป่าบริเวณใกล้ๆอาศรมก็ชักร่อยหรอลงไป จึงต้องเดินทางเข้าไปในป่าลึก ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลมากแต่ก็ยังหาไม่ได้ตามต้องการจึงใช้ความพยายาม
เที่ยวหาไปเรื่อยๆยังไม่กลับมาอาศรมเป็นเวลาถึง 3 วัน ทางฝ่ายช้างที่พระฤษีเลี้ยงเอาไว้เมื่อถึงเวลาก็มีอาการกระสับกระส่ายเพราะความหิวที่ไม่มีอาหารและผลไม้กิน ด้วยความหิวบวกกับอารมณ์โกรธ เลยเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ตรงเข้าทำลายล้างเครื่องใช้ภายในอาศรม ของพระฤษีพังพินาศหมดสิ้น มิหนำใจยังรื้ออาศรมเอาลงมาเหยียบย่ำจนไม่มีชิ้นดีแล้วยืนซึมคอยทีอยู่
   ฝ่ายพระฤษีอินทสมานโคตร เมื่อหาผลไม้ได้กับความต้องการแล้ว ก็หอบเอาผลไม้กลับมายังอาศรม ยังไม่ทันจะถึงดีเจ้าช้างตัวนั้นกำลังมีความโกรธ พอเห็นพระฤษี มันก็วิ่งรี่เข้ามาเอางวงจับร่างพระฤษีอินทสมานโคตรฟาดกับต้นไม้ร่างแหลกเหลวตายอย่างน่าอนาถแล้วช้างก็วิ่งหนีเข้าป่าไป
    ในบรรดาพระฤษีทั้งหลายเมื่อรู้เรื่องจึงรีบพากันมาแจ้งข่าวร้ายให้พระฤษีสมมิตรผู้เป็นพระอาจารย์ให้ทราบข่าวทันที แล้ทั้งหมดก็พากันไปที่เกิดเหตุ พระฤษีสมมิตรก็สั่งให้บรรดาพระฤษีผู้เป็นศิษย์หาฟืนเอามาสุมไฟแล้วทำการเผาศพของพระฤษีอินทสมานโคตร แล้วก็ร่วมกันสวดส่งวิญญาณกันทั้งหมด เมื่อไฟที่เผาศพสงบลงแล้วพระฤษีสมมิตรจึงสั่งสอนสานุศิษย์ต่อไปว่า...คนโง่เท่านั้นที่ชอบคบกับคนพาล หากคนที่ฉลาดก็ย่อมที่จะหลีกเลี่ยง
ไม่คบกับคนพาล ขึ้นชื่อว่าคนพาลแล้วต่อให้คยกันอย่างสนิทสนมมานานเพียงใด สักวันเขาผู้นั้นก็ย่อมจะให้ร้าย( ใส่ร้ายป้ายสี ) ให้ทุกข์ให้โทษ หาความเดือดร้อนมาให้ และมักจะทำอันตรายแก่เราได้เสมอไม่วันใดก็วันหนึ่ง สมกับคำที่ว่า คบคนพาล ก็จะพาไปหาผิด คบบัณฑิต ก็จะพาไปหาผล... และเมื่อเราเป็นศิษย์ที่ดีก็ควรจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์มิใช่จะดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเอง อาจารย์นั้นย่อมจะรู้เหตุการณ์ต่างๆมาก่อนศิษย์ ย่อมจะมีประสบการณ์มากกว่าศิษย์ อันคนโง่นั้นเปรียบได้กับพระฤษีอินทสมานโคตรและคนพาลนั้นก็เปรียบเช่นช้างนั่นเอง....


พระฤษีทิศาปาโมกข์...( ไม่มีรูป )...

     เป็นพระฤษีืั้มีชื่อเสียงโด่งดังอีกท่านหนึ่ง ในสำนักนี้มีศิษย์ที่เข้ามารับการศึกษาและบำเพ็ญตบะอยู่เป็นจำนวนถึง 500 คน ไม่ว่าจะเป็นพระราชา เศรษฐีและคนธรรมดา ก็มักจะส่งบุตรหลานมาเรียนวิชาอยู่ในสำนักนี้ทั้งนั้นในจำนวนนี้ก็ยังมีศิษย์อีกคนหนึ่งซึ่งเป็นบุตรของเศรษฐีที่มีแต่ความเฉลียวฉลาดได้เดินทางมาศึกษาเป็นคนสุดท้ายของสำนักทิสศาปาโมกข์นี้เขาผู้นี้มีชื่อว่า สัญชีวมานพ เป็นคนที่เอาใจใส่ต่อการศึกษา มีความขยันหมั่นเพียร ร่ำเรียนได้เก่งกว่าใครๆ ในที่สุดก็เป็นที่รักของอาจารย์และยังมีกิริยา มารยาทอ่อนน้อมนิ่มนวลเชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์ จนกระทั่งพระฤษีทิศาปาโมกข์ถ่ายทอดวิชาการให้หมดสิ้น เพื่อหวังว่าเมื่อท่านละสังขารไปแล้วก้จะได้ สัญชีวมานพ ผู้นี้เป็นต้วแทนสืบต่อไปในภายหน้าอาจารย์จึงสอนเวทมนต์คาถาต่างๆให้เช่น การชุบคนที่ตายไปแล้วให้ฟิ้นขึ้นมาอีก และในจำนวนศิษย์ทั้ง 500 คนนั้นยังไม่มีใครที่จะได้วิชาแขนงนี้มาก่อนเลย ดังนั้นสัญชีวมานพจึงได้กลายเป็นหนึ่งของศิษท์ในจำนวนนั้น จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นถึง พระฤษีสัญชีวมุนีมุ่งบำเพ็ญตบะสร้างบารมี อยู่กับพระอาจารย์เรื่อยมา
   วันหนึ่งซึ่งเป็นวันที่จะเกิดเหตู พระฤษีสัญชีวมุนีและเพื่อนๆจำนวน 400 องค์ที่อยู่สำนักเดียวกันได้พากันเข้าป่าหาผลไม้ และหาฟืนมาเก็บไว้ในยามจำเป็นในขณะที่พากันเดินเข้าไปในป่านั้น ก็พบเสือโคร่งตัวหนึ่งนอนตายในป่า ตัวมันใหญ่มาก พระฤษีสัญชืวมุนีคิดขึ้นมาว่าเราจำต้องทดลองวิชาที่ได้ร่ำเรียนมาจากพระอาจารย์ ว่าวิชานั้นจะนำเอามาใช้ได้ผลหรือไม่ จึงบอกความประสงค์กับเพื่อนที่มาด้วยกันว่าจะทดลองชุบชีวิตเสือโคร่งตัวนี้ดูซิว่าจะฟื้นมาได้จริงหรือไม่ เมือตกลงกันเช่นนั้นแล้ว เพื่อนที่มาด้วยกันจึงต้อง
หลบขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ก่อน เนื่องจากกลัวว่า ถ้าหากเสือโคร่งฟื้นขึ้นมาจริงๆจะเกิดอันตรายได้ พระฤษีสัญชีวมุนีมานั่งใกล้ๆเสือโคร่งตัวนั้นแล้วหลับตาบริกรรมคาถาตามที่ได้เรียนมาจากพระอาจารย์ สักพักเสือโคร่งก็ค่อยๆกระดิกฟื้นขึ้นมา ด้วยความหิวโหยของเสือโคร่ง พอฟื้นขึ้นมาก็เห็นเหยื่ออันโอชะอยู่ตรงหน้า มันไม่ปล่อยให้โอกาวดีผ่านไป ลุกขึ้นแล้วกระโจนเข้าตะครุบพระฤษีสัญชีวมุนีทันที ในขณะที่พระฤษีสัญชีวมุนียังคงนั่งนื่งหลับตาบรกรรมคาถามิได้มองเห็นเลยว่าภัยกำลังจะมาถึงตัวแล้วไม่ทันได้ระวังตัว เสือโคร่งนั้นมันจึงกินพระฤษีอย่างเอร็ดอร่อยต่อหน้าต่อตาเพื่อนพระฤษีเหล่านั้นสร้างความตกตะลึงให้กับเพื่อนพระฤษีเหล่านั้นสุดที่จะอธิบาย
    ในที่สุดเสือโคร่งมันกินอาหารจนอิ่มแล้วก็เดินเข้าป่าหายไป บรรดาพระฤษีเมื่อเห็นว่าปลอดภัย ก็รีบลงมาจากต้นไม้ แล้วก็วิ่งกระหืดกระหอบนำข่าวร้ายไปบอกพระอาจารย์พระอาจารย์เมื่อรู้ข่าวร้ายจากลูกศิษย์ ก็ถึงกับตะลึงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ...น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆยังไม่ทันอะไรเลยก็ตายเสียแล้ว เสียดายความเก่งกล้าของเขา เสียดายความขยันหมั่นเพียรของเขาเสียดายยังมิได้ให้วิชาป้องกันต้วจึงต้องมาตายโดยรู้เท่ามิถึงการณ์ท่านทั้งหลายก็จงจำกันเอาไว้าให้ดีเถิดว่า ในการช่วยเหลือผู้อื่นด้วยวิชาที่เรียนมาก็ต้องใช้ให้ถูกกับสถานที่และให้ถูกจังหวะไม่เช่นนั้นแล้วมันก็จะต้องเกิดภัยร้ายแรงมาถึงตัวเราจนได้อย่างที่เห็นที่แหละ...
     พระฤษีผู้เป็นอาจารย์สั่งสอนบรรดาศิษย์นี่ก็เป็นอุทาหรณ์อีกเรื่องหนึ่งในการช่วยเหลือผู้อื่นและคบมิตรที่มีความดุร้าย ไม่วันใดก็วันหนึ่งสิ่งที่เรามีเจตนาดีก็จะได้รับผลตอบแทนด้วยภัยอันมหันต์ยากที่จะป้องกัน...

 

พระฤษีสิงคาน...( ไม่มีรูป )

    สำหรับพระฤษีพระองค์นี้ก็ได้บำเพ็ญตบะอย่างมุ่งมั่น ไม่ยอมโยกย้ายสำนักไปไหน คงประจำสำนักอยู่แต่ในป่าหิมพานต์เพียงแห่งเดียว
   ความเป็นมาของพระฤษีองค์นี้ ตามชีวประวัติเมื่อในสมัยอดีตกาล ในกรุงพาราณสีซึ่งเป็นสมัยของท้าวพรหมทัตเป็นราชา มีเศรษฐีผู้หนึ่งมั่งคั่งมากด้วยทรัพย์สิน ได้ส่งบุตรชายคนเดียวไปเรียนในสำนักที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเมือตักกศิลา บุตรชายของท่านเศรษฐีก็เอาใจใส่ขยันขันแข็งในการศึกษา จึงได้ปฏิบัตตนเป็นพราหมณ์รักษาศีลและเรียนทางปฏิบ้ติฌานอย่างมุ่งมั่นจนกระทั่งได้เป็นศิษย์ที่รักของอาจารย์ ทั้งว่านอนสอนง่ายและมีนิสัยเยือกเย็นอารมณ์ดีเชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์ทุกอย่าง ในไม่ช้าก็สำเร็จการศึกษา จึงเดินทางกลับมาอยู่บ้านเดิมกของบิดา และก็ได้แต่งงานอยู่กินกับสาวงามที่มีคุณสมบัติพร้อม คือ รูปสวยรวยทรัพย์นิสัยดี จนกระทั่งต่อมาบิดาถึงแก่กรรมพราหมณ์ผู้เป็นบุตรก็ได้ครอบครองสมบัติและบริวารต่อไป พอนานๆเข้าก็มีความเบื่อหน่ายในสมบัติ จึงได้สละสมบัติเดินทางมุ่งตรง
ไปป่าหิมพานต์ บวชตนเป็นพระฤษี ที่มีชื่อว่า พระฤษีสิงคาน
    บำเพ็ญตบะสร้างบารมี เสวยผลไม้ป่าเป็นเครื่องประทังชีวิต ได้ตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างมุ่งมั่นจนกระทั่งสำเร็จธรรมชั้นสูงอภิญญาสมาบัติถึงกับมีอิทธิฤทธิ์ และปาฏิหารย์มากมายล่องหนหายตัว เหาะได้ ดำดินได้ มีจิตเมตตาต่อมนุษย์และสัตว์เปี่ยมล้นด้วยบารมีแทบว่าจะหาพระฤษีองค์ใดมาเปรียบเทียบไม่ได้อีกแล้ววันหนึ่งท่านคิดที่จะไปโปรดสัตว์ในเมืองพาราณสีซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของท่านจึงเดินทางเข้าไปพักอยู่ในอุทยานหลวงของท่านท้าวพรหมทัต วันรุ่งขึ้นพระฤษีสิงคานท่านก็ออกไปบิณฑบาต โปรดสัตว์
ในเมืองหลวงด้วยการทำกริยาอภินิหารให้ชาวเมืองได้เห็นจนเป็นที่พอพระทัยและเลื่อมใสศรัทธาแห่งท้าวพรหมทัต จึงได้นิมนต์เข้ามาฉันภัตตาหารในพระราชวังเป็นประจำทุกๆ วันตลอดไปแล้วก็นิมนต์พระฤษีบำเพ็ญตบะอยู่ในอุทยานนั้นเป็นเวลา 12 ปี พระฤษีจึงเป็นที่โปรดปราณของพระราชาและเสนาอำมาตย์มุขมนตรีทั้งน้อยใหญ่ทั่วทั้งเมือง
    พระฤษ๊สิงคานก็แสดงธรรมถวายพระราชาทุกวัน ในขณะที่ฉันภัตตาหารเสร็จแล้วเป็นกิจวัตรประจำ พระราชาก็เลื่อมใสและมีจิตใจที่ซาบซึ้งในรสพระธรรมอันสูงค่านั้น หลังจากอีกไม่นาน พาราณสีก็เกิดศึกขึ้นมา พระราชาจึงลาพระฤษียกกองทัพไปออกศึก คงปล่อยให้พระฤษีอยู่ในอุทยานอย่าง
เดิมและก็ให้นิมนต์ไปฉันภัตตาหารและแสดงธรรมเหมือนเช่นเคย แต่พระฤษีก็มีความคิดขึ้นมาว่าพระราชาไม่อยู่เราก็ไม่ควรที่จะเข้าไปฉันในพระราชวังและก็ไม่ต้องไปแสดงธรรมอีกด้วย หากยังปฏิบัติตามภารกิจหน้าที่ก็จะเป็นการยุ่งยากต่อพระชายาของพระราชา เอาเพียงแต่ว่าจะเข้าไปบิณฑบาตในพระราชฐานเพียงอย่างเดียวก็พอแล้ว แล้วก็นำเอาอาหารกลับมาฉันที่อาศรม ในอุทยานจะดีกว่า
    เมื่อพระฤษีคิดได้ดังนั้นแล้วท่านก็จัดแจงมุ่งเข้าไปบิณฑบาตในพระราชวัง ในขณะนั้นพระชายาของพระราชาก็จัดเตรียมสำรับกับข้าวเอาไว้เรียบร้อยแล้วแต่พระฤษีก็ไม่มาสักที พระนางจึงวางสำรับกับข้าวทิ้งเอาไว้ก่อนแล้วจึงเข้าไปในห้องสรงน้ำชำระล้างร่างกาย ในขณะที่พระนางกำลังเปลือยกายอยู่ในห้องน้ำพระฤษีก็เหาะลอยละลิ่วมากลางอากาศ เมื่อนางได้ยินเสียงก็ตกใจครั้นจะหาอะไรมาปกปิดร่างกายก็ไม่ทันเสียแล้ว พระฤษีเหาะมาถึงบริเวณนั้นพลันสายตาก็ลอดเข้าไปช่องพระแกล(หน้าต่าง) โดยที่ไม่ได้ตั้งใจแต่ประการใด ก็บังเกิดตัณหาราคะขึ้นมาภายในใจเลยทำให้บารมีเสื่อมพระฤษีหล่นตุ๊บ...ลงมาจากกลางอากาศลงมานอนจุกอยู่กับพื้น ในวันนั้นก็มิอาจอยู่รับบิณฑบาตได้ เพราะไฟราคะได้ลุกกระพือโหมไหม้พระฤษีอย่างรุนแรง เกิดอาการกระวนกระวาย กระสับกระส่าย จึงต้องกระเสือกกระสนหนีกลับมายังอาศรม ในอุทยานหลวงด้วยดวงจิตที่มีความพะวงหลง
ใหลในรูปร่างของพระนาง พระฤษีจึงมีความหม่นหมองนอนรำพึงรำพันถึงแต่ความหมดจดงดงามของพระนาง ด้วยมิอาจห้ามจิตใจของตัวเองเอาไว้ได้ ไม่ยอมฉันอาหารเป็นเวลาถึง 7 วัน ครุ่นคิดถึงแต่นางเทวีเช่นนั้นตลอดมา จนกระทั่งพระฤษีล้มป่วยและผ่ายผอมลงไปอย่างเห็นได้ชัด ด้วยสา
เหตุของการอดอาหารอย่างหนึ่งและตรอมใจอีกอย่างหนึ่งอยู่ในสภาพเช่นนั้นมาจนกระทั่งพระราชาทำศึกเสร็จแล้วก็เสด็จกลับ ด้วยพระทัยที่ยังมีความเป็นห่วงพระฤษีจึงเสด็จเข้าไปในอุทยานก่อน เพื่อจะเยี่ยมเยียนพระฤษี แต่แล้วพระราชาก็ถึงกับตกตะลึงด้วยเห็นว่าภายในรอบๆพระอาศรม บัดนี้มีต้นไม้ต้นหญ้าขึ้นมารกรุงรังอย่างผิดปกติ ไม่มีความสะอาดเหมือนอย่างแต่ก่อน จึงทรงใช้ให้ทหารทำความสะอาดแผ้วถางทาง และดายหญ้าให้เรียบร้อยรอบๆอาศรม แล้วพระราชาจึงเสด็จเข้าไปเยี่ยมพระฤษี แต่พอทอดพระเนตรเห็นพระฤษีเท่านั้น พระราชาก็ยิ่งงุนงงแปลกพระทัยมากขึ้นไปอีก ก็ด้วยบัดนี้พระฤษีท่านผ่ายผอมผิดรูปผิดร่าง ไม่มีสง่าราศรีเอาเสียเลยพระราชาจึงรีบตรัสถามด้ายความเป็นห่วงว่า...'พระคุณเจ้าเป็นอะไรไปหรือ คงจะไม่สบายจึงได้ผ่ายผอมลงไปเช่นนี้'...
   พระฤษีได้แต่ส่ายหน้าช้าๆ ไม่ยอมตอบอะไรทั้งนั้น พระราชาจึงเสด็จเข้าไปใกล้ๆตรัสถามขึ้นอีกว่า...'ท่านจะต้องเป็นอะไรสักอย่างหนึ่งแล้ว ต้องให้หมอหลวงมาตรวจอาการ'...ยังไม่ทันที่พระฤษีจะพูดว่าอะไรพระราชาก็ตรัสสั่งให้ทหารไปตามหมอหลวงมาตรวจอาการโดยด่วน ทหารก็รีบไปแต่พระฤษีก็ร้องห้ามเอาไว้มิให้ไป' ไม่ต้องหรอกมหาบพิตรอาตมามิได้เป็นอะไรหรอกเพียงแต่ถูกแทงที่หัวใจเท่านั้น' พระฤษีสิงคานกล่าวเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไป มิได้พูดว่าอะไรอีกเลย ยิ่งทำให้พระราชาพรหมทัตสงสัยขึ้นไปอีก ด้วยว่าไม่ทราบสาเหตุและลีลาของพระฤษี ไม่เข้าใจในเหตุผลจึงตีปัญหาไม่ออก พระราชจึงเข้าไปจับต้องสำรวจร่างกายของพระฤษี แต่ก็ไม่ปรากฎว่าจะมีบาดแผลอันใดเลย พระราชาจึงสงสัยมากขึ้น 'ไม่เห็นมีบาดแผลที่ไหนเลยนี่ ที่พระคุณเจ้าบอกว่าถูกแทงตรงหัวใจ' พระฤษีส่ายหน้าช้าๆแล้วจึงค่อยๆเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ 'อาตมาถูกแทงตรงหัวใจ ด้วยคมมีดที่อาบด้วยยาพิษอันร้ายแรง คือกามตัณหาทำให้ไฟราคะหรือว่าไฟโลกีย์ที่ยากต่อการดับมันได้เผาไหม้อวัยวะทุกส่วนของอาตมาให้เร่าร้อนจนแทบจะทนไม่ไหว แต่การถูกมีดอันคมกริบและอาบด้วยยาพิษทิ่มแทงหัวใจของอาตมามันหาได้มีบาดแผลไม่เลือดก็ไม่ไหลออกมาให้เห็นเพียงแต่ตกอยู่ภายในจนหัวใจอักเสบ ไม่มีผู้ใดจะรักษาให้หายได้ คำว่ายาพิษนี้ก็คือ 'กิเลส'อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่มีผู้ใดจะรู้เท่ากับตัวของตัวเองรู้ ไม่มีใครจะช่วยหรือจะรักษาให้อาตมาหายจากอาการของโรคนี้ได้ อาตมาต้องรักษาตัวเองไปตลอด ขอมหาบพิตรจงอย่าไรทุกข์หรือว่าเป็นห่วงอาตมาเลย....
    ในไม่ช้าบาดแผลของอาตมาก็จะต้องหายเป็นปกติเอง โดยไม่ต้องได้รับการรักษาให้เสียเวลาพระองค์กำลังทรงเหน็ดเหนื่อยจงเสด็จกลับไปพักผ่อนเสียก่อนเถิด อาการของอาตทามิได้มากมายอะไรนัก นอกจากกิเลสตัณหาไฟราคะมันมาสุมอยู่ในหัวใจเท่านั้นเอง' พระราชายังทรงตีปัญหาของพระฤษีไม่แตก จึงต้องเสด็จกลับทั้งที่ยังเป็นห่วงฝ่ายพระฤษีหลังจากที่พระราชาเสด็จกลับไปแล้วก็รีบสำรวมกริยาให้เข้มแข็งบำเพ็ญตบะเข้าสมาธิญาณเพื่อขับไล่กิเลสให้หมดสิ้นไป แต่จะให้หลุดพ้นไปในทันทีนั้นก็ไม่สามารถจะทำได้จึงต้องบำเพ็ญภาวนาขัดเกลาออกไปทีละน้อยๆ แล้วในที่สุดก็ค่อยๆหลุดจางหายไปจนหมดสิ้นตามความต้องการพยายามทำกสิณฌาณสมาบัติให้มาบังเกิดขึ้นแล้วขับไล่กิเลสตัณหาออกไปจนกระทั่ง เข้ารูปเข้ารอยเป็นปกติอย่างเดิมเมื่อพระฤษีท่านได้สำเร็จฌาณด้วยบารมีอีกครั้งหนึ่ง ท่านจึงจินตนาการดูว่าไม่สมควรที่จะอยู่ในสถานที่นี้อีกต่อไป ควรจะต้องจากที่นี่ไปเพื่อหามุมสงบทำการบำเพ็ญให้เป็นเรื่องเป็นราวต่อไปจะ
ได้ ไม่ติด ไม่หลง ไม่พะวงในกามคุณอันที่จะเป็นบ่อเกิดแห่งการทำลายล้างในความสงบสุขให้เกิดเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป ถ้าหากพลาดหรือเผลอเพียงชั่ววูบเดียวนั่นก็หมายถึงว่าจะต้องเสื่อมรอยถอยหลังอย่างแน่นอน และก็ยากต่อการที่จะคิดแก้ไขและป้องกันอีก ด้วยจะต้องเสื่อมเสียในทางสมาธิฌาณที่เรียกว่า...(พระฤษีตบะแตก)
    คิดได้ดังนั้นแล้วพระฤษีสิงคานท่าจึงได้สำรวมจิต แสดงอิทธิฤทธิ์อภินิหารเหาะขึ้นไปในอากาศตรงไปยังตำหนักของพระราชาแล้วกล่าวดังๆกลางอากาศว่า 'ข้าแต่พระราชอันเป็นที่รักของอาตมาบัดนี้อาตมาจะต้องลาไปก่อน จะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว หากขืนอยู่จะต้องตบะแตกฌาณบารมีก็จะพินาศ และบ้านเมืองก็จะถึงการวิบัติ ด้วยอำนาจของสภาวะกิเลส ดังนั้นเพื่อจะให้พระองค์ทรงได้รับสันติสุข อาตมาจึงต้องลาและหนีท่านไป เพื่อบำเพ็ญผลให้สมบูรณ์ในภายหน้า '
    สุดที่พีะราชาจะทัดทานได้ เพราะพอพระฤษีพูดจบก็เหาะหนีไปทันทีพระราชาจึงทุกข์ระทมตรอมพระทัย เพราะเสียดายพระฤษี ฝ่ายพระฤษีสิงคานก็เหาะตรงไปยังป่าหิมพานต์ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่อดีตบำเพ็ญเพียรสร้างตบะจนกระทั่งละสังขารจึงได้ไปบังเกิดเป็น...พระพรหม...
    เรื่องนี้ก็เป็นอุทาหรณ์สอนใจเป็นอย่างดีเยี่ยมสำหรับผู้ที่คิดผิด เดินทางผิด ทำอะไรที่ผิดๆลงไปแล้ว เมื่อรู้ตัวว่าผิด ก็จงคิดหาทางแก้ไขและกลับตัวกลับใจเสียใหม่ จึงจะเรียกว่าเป็น 'คนดี 'อย่างเช่นกับ...พระฤษีสิงคาน....

ที่มา หนังสือดวงมหาลาภ ฉบับพิเศษ (ตำนานพระฤษี)

 

 

พระฤษีวิมุติและพระฤษีสุรินทระ

    พระฤษีทั้งสององค์เป็นเพื่อนกันร่ำเรียนวิชามาด้วยกันและอาจารย์องค์เดียวกันซึ่งก็เป็นพระฤษีที่เก่งกล้าสามารถในภูมิธรรม ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาในอดีตกาลอีกท่านหนึ่งในอดีตกาล นั่นคือ พระนารทฤษี
    เมื่อพระฤษีทั้งสองมีความสามารถกับความต้องการเพียงพอแล้ว จึงได้ชวนกันร่ำลาพระอาจารย์เพื่อเดินทางไปสู่ที่สงบ อันเป็นที่สมควรแก่การบำเพ็ญตบะแสวงหาโมกธรรมโดยอิสระส่วนตัวในโอกาสต่อไปทั้งสองจึงพากันเดินทางไปถึงแดนป่าแห่งเมืองกาสีจึงพบสถานที่เหมาะสมแห่งหนึ่ง และ
จัดการสร้างอาศรมเอาไว้สำหรับพักผ่อน อยู่อาศัยในการบำเพ็ญตบะสร้างบารมี ต่อมาอีกไม่นานพระฤษีทั้งสองก็ได้สำเร็จในบารมรธรรมขั้นสูง จึงยิ่งเพิ่มความรู้และความสามารถในความเก่งกล้าขึ้นมาอีก เก่งในทุกๆทาง มีอิทธิฤทธิ์มากมายยากที่จะหาผู้ใดเทียบได้ แต่ถึงแม้จะเก่งเพียงใดพระฤษีวิมุติก็ยังได้รับความเดือดร้อนจำจะต้องหาทางแก้ไขให้จงได้
    นั่นก็เนื่องมาจากมีหนูชอบเข้ามาในอาศรมแล้วกัดทำลายข้าวของอยู่เป็นนิจ เช่น สบงและเครื่องทรงองค์พระฤษีตลอดจนเครื่องใช้ต่างๆอีกมากมาย เพราะปากบอนของหนูนั้น พระฤษีวิมุติก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ครั้นจะทำร้ายให้ถึงตายก็เกรงจะเป็นบาปเป็นกรรมติดตัวได้แต่คิดหาช่องทางอยู่เงียบๆ
แล้วในที่สุดก็คิดออก ตนเองมีวิชาความรู้จะต้องไปวิตกอะไรกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้จะต้องเอาวิชาความรู้มาทำประโยชน์จึงจะควร เมื่อคิดได้ดังนั้นพระฤษีวิมุติก็เข้าที่ท่องบ่นมนต์คาถาที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยดวงจิตที่มุ่งมั่นเพียงเวลาไม่นานนักความศักดิ์สิทธิ์ของคาถาอาคมก็สำแดงฤทธิ์ บังเกิดเป็นแมวแสนรู้นอนหมอบนิ่งอยู่ตรงหน้า มันทั้งน่ารักและสวยงามมากพระฤษีก็ดีใจจึงเลี้ยงแมวอาคมตัวนั้นไว้ เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้หนูมารบกวนและเจ้าแมวตัวนี้พระฤษียังใช้งานมันได้อีกสารพัด เช่นใช้ให้เดินทางไปมาหาสู่ยัง สำนักพระฤษีสุรินทะระโดยการเขียนจดหมายผูกคอแมวหรือบางทีให้มันคาบเอาไปให้ แล้วทางโน้นก็เขียนตอบมา นับว่าแมวตัวนี้มีประโยชน์มากทีเดียว
   การไปมาหาสู่ของแมวตัวนี้ ระหว่างอาศรมพระฤษีทั้งสองก็เป็นไปด้วยความเคยชิน จนกระทั่งวันหนึ่ง พระฤษีวิมุติท่านเข้าฌาณแล้ว วึ่งก็เป็นเวลากลางคืน แมวอาคมก็ออกไปเที่ยวในป่า จนกระทั่งมาถึงอาศรมพระฤษีสุรินทะระ เจ้าแมวมีความหวังดีแวะเข้าไปหมายที่จะจับหนูในอาศรมให้กับพระฤษีก็พอดีกับพระฤษีสุรินทะระกำลังเข้าฌาณด้วยการบำเพ็ญหลับตานิ่งอยู่ภายในอาศรม เจ้าหนูตัวหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในอาศรมเจ้าแมวอาคมก็วิ่งไล่กวดเจ้าหนูเข้าไป เจ้าหนูมันจนมุมไม่มีทางออก ก็เลยวิ่งเข้าไปซุกอยู่ในร่างพระฤษี ทันทีทันใดเจ้าแมวอาคมต้องการจะพิชิตหนูเพื่อสร้างความดีให้พระฤษีสุรินทะระประจักษ์ก็กระโดดเข้าไปตะครุบหนูโดยเร็วและแรง จึงชนกับร่างพระฤษีเต็มแรงจนถึงกับหงายหลังลงไปกับพื้น....พระฤษีสุรินทะระตกใจมากลืมตาขึ้นมาเห็นเจ้าแมวตัวนั้น ก็คิดว่าแมวมันแกล้ง ไม่คิดหน้าคิดหลัง
คว้าได้ไม้เท้าก็หวังจะตีแมวให้เต็มที่ด้วยความโกรธ แต่แมวมันไวกว่าวิ่งหลบพระฤษีตีพลาดเลยเสียหลักหัวคะมำไปชนประตูดังโครมใหญ่ ผลคือหังโนปูดเป็นลูกมะกรูดขึ้นมาทันทียิ่งทำให้พระฤษีมีความโกรธมากขึ้น จึงมีความโกรธและเกลียดเจ้าแมวตัวนั้นมาก คิดหาทางที่จะแก้แค้นที่มันทำให้เจ็บตัวแถมยังหัวโนไม่หาย และแล้วก็คิดออกรีบเข้าไปในอาศรมนั่งลงแล้วเอาไม้เท้าวางตรงหน้านั่งหลับตาบริกรรมคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ นั่งบริกรรมอยู่หลายชั่วโมงด้วยความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว แล้วความมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นไม้เท้าที่ีวางอยู่ตรงหน้าเริ่มมีอาการเคลื่อนไหวและกระดุกกระดิกขึ้นมาได้ อีกไม่นาน ไม้เท้าของพระฤษีก็กลับกลายร่างเป็นสุนัขตัวใหญ่ขนปุย น่ารักและเป็นสุนัขแสนรู้อีกด้วย
    พระฤษีลืมตาขึ้นมาช้าๆเมื่อเห็นผลงานของตนสำเร็จก็ค่อยมีอารมณ์ดีขึ้น ทีนี้แหละเจ้าแมวมันจะต้องได้รับบทเรียนที่สาสมบ้างล่ะ แล้วคืนวันหนึ่งเจ้าแมวอาคมก็ออกมาเที่ยวจับหนูมาเป็นอาหารจนกระทั่งมาถึงอาศรมของพระฤษีสุรินทะระมันก็เข้าไปโดยไม่คิดว่าจะมีอันตรายใหญ่หลวงรออยู่มันเที่ยวค้นหาหนูเพื่อจะได้จัดการเสียให้เรียบร้อย สุนัขอาคมรอจังหวะอยู่แล้ว เจ้าแมวไม่ทันระวังตัวจึงโดนสุนัขกระโจนเข้าฟัดอย่างไม่มีทางต่อสู้ สุนัขอาคมขย้ำกัดแมวอาคมอย่างดุเดือด มันกัดไม่เลือกที่จนเจ้าแมวแทบจะขาดใจตายมันจึงแกล้งนอนนิ่งๆเสมือนหนึ่งตายแล้ว สนัขยืนมองด้วยความสะใจจึงเป็นโอกาสสุดท้ายที่เจ้าแมวมันรวบรวมกำลังแล้วลุกขึ้นวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว เจ้าสุนัขก็วิ่งไล่กวดไม่ลดละ ไปทันกันตรงหน้าอาศรมของพระฤษีวิมุติ ก็เกิดฟัดกันใหญ่ เสียงร้องของแมวและเสียงไล่ล่าของสุนัขดังอึกทึกครึกโครม จนพระฤษีที่กำลังนั่งหลับตาภาวนาต้องออกจากฌาณมาดูเห็นแมวของท่านกำลังถูกสุนัขฟัดอยู่ก็โกรธ จึงเอาไม้หวดไปสุดแรงเกิด....
เจ้าสุนัขอาคมโดนไม้เท้าเข้าอย่างจังมีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวมันส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดแล้วกระโจนหายเข้าไปในความมืด พระฤษีเดินมาดูแมวที่กำลังนอนรอความตายก็มีความสงสาร จึงเข้าที่แล้วบริกรรมคาถา เอาแมวไว้ตรงหน้าโอมอ่านพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ ในไม่ช้าเจ้าแมวตัวนั้นก็กลับกลายร่างเป็นคน...เป็นพระฤษี แต่กลับมีใบหน้าเป็นแมวเหมือนเดิม ก็เลยกลายเป็นว่าได้บังเกิดมีพระฤษีขึ้นมาอีกองค์หนึ่ง เป็นพระฤษี..หน้าแมว
    
          พระฤษีวิมุติจึงตั้งชื่อว่า พระฤษี...วิลาคธา แล้วพระฤษีวิมุติก็ให้พระฤษีวิลาคธานั้นเฝ้าอาศรมเอาไว้ แล้วท่านเองก็คว้าไม้เท้าวิเศษมุ่งหน้าไปหาเพื่อนด้วยความโกรธ พอมาถึงอาศรมของเพื่อนก็เข้าไปต่อว่าต่อขานกันขึ้นจนกลายเป็นทะเลาะวิวาท ลืมตัวไปว่าตนเองอยู่ในเพศของผู้ทรงศีล ความ
โกรธเมื่อเกิดขึ้นกับใครแล้วไซร้ก็ย่อมจะไร้สติ ขาดความยั้งคิดแม้ทั้งสองจะเป็นเพื่อนกัน แต่ในยามนี้กลับหมายมั่นที่จะสังหารกันให้แหลกไปข้างหนึ่ง เมื่อไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใครต่างฝ่ายก็คิดว่าตนเองถูก คิดว่าตนเก่ง ในที่สุดก็ต้องสู้กันอยู่เป็นเวลานาน แต่ไม่มีใครแพ้ชนะเพราะฝีมือสูสีกันจนเหนื่อยหอบด้วยกันทั้งคู่ ฝ่ายสุนัขที่เกิดจากไม้เท้า ก็ไม่สามารถจะช่วยเจ้านายคงได้แต่หมอบดูการต่อสู้อยู่อย่างนั้นพระฤษีวิมุติคิดขึ้นมาได้ว่าไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ของพระฤษีสุรินทะระไม่มีเพราะเอาไปเสกเป็นสุนัขเสียแล้วแต่ของตนยังอยู่น่าจะเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเอาไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์หวดไปที่ร่างของผู้ต่อสู้อย่างเต็มแรง ยังผลให้พระฤษีสุรินทะระเซถลาเหมือนนกปีกหัก ล้มคว่ำหน้าลงไปสลบเหมือดคาที่ พระฤษีวิมุติหัวเราะ หึๆ ในลำคอแล้วเดินจากไปอย่างผู้ชนะ.....

ฝ่ายสุนัขที่เฝ้าหมอบดูการต่อสู้ตั้งแต่ต้นแต่ไม่สมารถช่วยเจ้านายของมันได้ เมื่อเห็นพระฤษีวิมุติกลับไปแล้ว มันก็ตรงเข้าไปหาพระฤษีที่นอนสลบอยู่ เจ้าสุนัขผู้พักดีก็ใช้ลิ้นเลียตามตัวของพระฤษีอยู่พักใหญ่ พระฤษีจึงรู้สึกตัวได้สติฟื้นขึ้นมา ได้เห็นความจงรักภักดีของสุนัขก็เกิดความสงสารจึงจัดตั้งพิธีกรรมเอาสุนัขวางไว้ตรงหน้าหลับตาภาวนาเรื่อยไปตลอดทั้งคืนด้วยความตั้งใจว่าจะสร้างกำลังและบริวารให้มากเพื่อต่อไปวันข้างหน้าจะได้ปิดบัญชีแค้นกับพระฤษีวิมุติที่ได้หยามน้ำหน้าและทำให้ได้รับความอับอายในครั้งนี้้   รุ่งอรุณของวันใหม่ เจ้าสุนัขตัวนั้นก็กลับกลายร่างเป็นมนุษย์เป็นพระฤษีขึ้นมา แต่ทว่าส่วนใบหน้านั้นกลับไม่เปลี่ยนแปลงยังคงเป็นสุนัขเหมือนเดิม พระฤษีสุรินทะระจึงตั้งชื่อให้กับพระฤษีผู้ที่ท่านได้สร้างขึ้นมานั้นว่า...พระฤษีสุนาขยาติ ก็ได้บังเกิดเป็น พระฤษีหน้าสุนัขอีกองค์จนได้ครั้นแล้วพระฤษีสุรินทะระก็ไม่อยู่นิ่งเฉยเพราะความแค้นมันฝังแน่นอยู่ในใจ จะต้องหาทางแก้แค้นให้จงได้จึงหยิบโน่นฉวยนี่ขึ้นมาเสกกันทั้งวันทั้งคืนจนกระทั่งมีบริวารมากมายเกือบจะพอกับความต้องการ แต่เพื่อความไม่ประมาทจึงเสกต่อไป
    ทางฝ่ายพระฤษีวิมุติก็มิได้ประมาทเพราะรู้นิสัยของเพื่อนว่าไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆไม่วันหนึ่งก็วันใดก็จะต้องมาแก้แค้นจะช้าหรือเร็วเท่านั้น จึงเสกบริวารขึ้นมาเช่นกันจะได้เตรียมเอาไว้รับมือกับพวกพ้องของพระฤษีสุรินทะระได้เต็มที่ พระฤษีวิมุติท่านเฉลียวฉลาดมาก ขุดเอาดินขึ้นมาปั้นเป็น
หุ่นบ้าง เอากิ่งไม้ถากเป็นรูปคนบ้าง เอาใบไม้มาเสกบ้าง เอาหญ้ามาผูกหุ่นบ้าง รวมแล้วมีบริวารเรือนหมือนทีเดียวแล้วท่านก็ออกคำสั่งให้บริวารที่สร้างขึ้นมาเหล่านั้นไปหลบซ่อนตนอยู่ในป่าใกล้ๆกับบริเวณอาศรมมิให้ผู้ใดเข้ามาใกล้อาศรมได้ โดยมีพระฤษีหน้าแมวเป็นหัวหน้าคอยดูแลรักษาบริวารเหล่านั้น....เมื่อเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว พระฤษีวิมุติก็เข้าที่บำเพ็ญตนอยู่ภายในอาศรมไม่ยอมออกไปไหนวางตัวเฉยอยู่ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้  เหมือนกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนเลย
    ทางด้านพระฤษีสุรินทะระ หมกมุ่นอยู่กับการสร้างบริวารจำนวนนับหมื่นเช่นเดียวกันและคิดว่าพระฤษีวิมุติคงไม่รู้เท่าทันตน มอบหมายหน้าที่ให้พระฤษีหน้าหมาเป็นผู้ควบคุมดูแลเตรียมพร้อมที่จะออกศึกทันทีที่ได้รับคำสั่ง
    น่าเสียดายพระฤษีทั้งสองเคยเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน แต่มาบัดนี้ได้กลายมาเป็นศัตรูกันเสียแล้วช่างไม่มีเหตุผลเสียเลย เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กันแท้ๆ กลับต้องมาห้ำหั่นกัน นี่มันกรรมอะไรกันหนอจึงบันดาลให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาได้ ครั้นได้ฤกษ์งามยามดี พระฤษีสุรินทะระก็ยกกองทัพที่สร้าง
ขึ้นมาจากเวทมนต์คาถาเคลื่นไปเสียงอึกทึกครึกโครมเลื่อนลั่นไปทั้งราวป่า ก็เนื่องมาจากพวกไพร่พลส่งเสีบงไชโยโห่ร้องเป็นการข่มผู้ต่อสู้และเป็นเพราะพระฤษีบรรจุอาคมวิเศษที่ทำให้พวกมันมีจิตในฮึกเหิมและอำมหิต พอมาใกล้อาศรมพระฤษีวิมุติ พระฤษีสุรินทะระก็สั่งให้ไพร่พลกระจายกำลังโอบเอาไว้ทุกด้านมั่นใจว่าจะต้องเอาชัยชนะมาเป็นของตนให้ได้
    ฝ่ายพระฤษีวิมุติก็มิได้ประมาทคงเตรียมเอาไว้เงียบๆโดยไม่มีใครล่วงรู้หรือว่ามองเห็น พระฤษีสุรินทะระเห็นทางฝ่ายศัตรูยังเงียบอยู่ก็สงสัยจึงให้พระฤษีหน้าหมาเข้าไปดูเชิง และดูลาดเลาก่อนพระฤษีหน้าหมาจึงเข้าไปในอาศรม เห็นพระฤษีวิมุติยังนั่งหลับตานิ่งอยู่อย่างปกติไม่มีวี่แววที่จะคิดป้องกันตัวแต่อย่างใด จึงกลับออกมาบอกกับพระอาจารย์ให้ทราบ....

พระฤษีสุรินทะระรู้แน่ชัดแล้วว่าศัตรูมิได้เตรียมการป้องกันเอาไว้แต่อย่างใด ก็มองเห็นชัยชนะอยู่แค่มือเอื้อม จึงสั่งไพร่พลที่นำมาบุกตะลุยเข้าไปทันที สิ้นเสียงสั่งก็มีเสียงโห่ร้องอึงมี่ดังสะเทือนเลื่อนลั่น พลพรรคที่เกิดจากอำนาจมนต์คาถาก็ตีขนาบเป็นวงแคบเข้าไปเพื่อปิดทางออกโดยสิ้นเชิง ทันใดนั้นเองสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น นั่นคือกองทัพเวทมนต์ของพระฤษีวิมุติที่ซุ่มอยู่ก็ลุกพรึบขึ้นมาปะนั้นก็แตกกระเจิงไม่เป็นขบวน พระฤษีสุรินทะระเห็นเช่นนั้นก็เหงื่อแตกพลั่กขืนยืนอยู่ก็มีหวังเจ็บตัวแน่จึงเผ่นหนีตามพลพรรคไปด้วย
   พระฤษีสุรินทะระต้องพ่ายแพ้ยับเยินอีกครั้ง เมื่อหนีมาได้พักผ่อนเรียกขวัญให้กลับมาสู่ตัวได้แล้วตั้งสติปฏิบัติบูชาภาวนาพระคาถาเพื่อเรียกพลพรรคที่แตกกระเจิงให้กลับมาประชุมกันอีกครั้งหนึ่งแล้วพระฤษีสุรินทะระก็ปลุกเสกให้พลพรรคเหล่านั้นอยู่ยงคงกระพันและแข็งแกร่งขึ้นมาอีก พร้อม
ทั้งยังปลุกกำลังใจให้เพิ่มพลังสู้ไม่รู้จักถอย จนกระทั่งแน่ใจและเพียงพอแก่ความต้องการแล้วพระฤษีสุรินทะระก็เกณฑ์พลเหล่านั้นให้เคลื่อนขบวนออกไปหมายที่จะเผด็จศึกให้ได้ส่วนทางฝ่ายพลของพระฤษีวิมุติก็คอยทีอยู่ก่อนแล้วเมื่อเห็นดังนั้นก็ตรงรี่เข้าไปปะทะกันอย่างสะบั้นหั่นแหลกเอาจริงเอาจังกันทั้งสองฝ่าย พระฤษีทั้งสองก็ออกมาดูเหตุการณ์ที่ชุมมุนวุ่นวายทั้งคู่ คนละมุมคอยสั่งและบัญชาการรบ ทั้งป่าในขณะนั้นเต็มไปด้วยกองทัพเวทมนต์ของทั้งสองฝ่าย ได้บุกเข้าปะทะกันต้นไม้ล้มระเนนระนาด ฝูงสัตว์ป่าพากันวิ่งกระเจิดกระเจิงด้วยความตกใจ พากันหนีเอาตัวรอดกันชุลมุนวุ่นวายไปหมด สงครามของทั้งสองพระฤษีไม่มีทางที่จะยุติหรือสงบลงได้ มีแต่จะรุนแรงยิ่งขึ้น
    และแล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ทันใดนั้นเองพลพรรคของพระฤษีทั้งสองฝ่ายที่กำลัง ต่อสู้กันชุลมุนก็พากันลอยตัวคว้างขึ้นบนอากาศสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป แล้วในที่สุดพลพรรคของทั้งสองฝ่ายก็อันต้องกระจายหายไปกลายเป็นเศษหญ้า เศษฟาง และเศษดินปลิวว่อนอยู่บนท้องฟ้าแล้ว
ค่อยๆล่วงลงมาสู่พื้นดินทุกอย่างสงบอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นไปได้    และแล้วก็มีวัตถุอย่างหนึ่งหล่นตุ้บลงมาตรงหน้าพระฤษีทั้งสอง ในขณะที่พระฤษีทั้งสองต่างก็ยืนตกตะลึงอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วสิ่งที่หล่นมาก็เริ่มแปรสภาพอย่างรวดเร็วจนกระทั่งกลายเป็น..พระนารทฤษี มายืนอยู่ตรงหน้าของศิษย์ทั้งสองพร้อมกับชี้หน้าอย่างโกรธแค้นในการที่พระฤษีทั้งสองลืมตัว ใช้วิชาในสายเดียวกัน ที่ได้มาจากแหล่งเดียวกันมาทำลายล้างกันโดยปราศจากความยั้งคิด พระฤษีทั้งสองได้สติ ตรงรี่เข้ากราบพระฤษีผู้เป็นอาจารย์ รับสารภาพในความผิดทุกประการ พระนารทฤษีก็อบรมพระฤษีทั้งสองให้คืนดีกันและปรองดองกันเหมือนเดิม พระฤษีทั้งสองก็เห็นว่าถูกต้องและเป็นจริงทุกประการจึงตกปากรับคำแข็งขัน จับมือคืนดีกัน พระนารทฤษีก็หายวับไปกับตาทั้งสองพระฤาษีก็พากันกลับอาศรมแห่งตน โดยไม่มีจิตคิดอาฆาตแค้นกันอีกต่อไป.....

 

ปู่เจ้าสมิงพราย
        มาจากตำนานเก่าแก่ของไทยเรื่อง 'พระลอ'กล่าวถึงปู่เจ้าสมิงพรายว่า เป็นชายชราอายุนับร้อยๆปีนุ่งขาวห่มขาวผมหนวดขาว ห้อยลูกประคำเส้นใหญ่ๆจำศีลภาวนาอยู่ในถ้ำเพียงผู้เดียว มีอาคมกล้าแข็งด้วยฤทธิ์ ธิดาเจ้าเมืองแมนสรวง คือ 'เพื่อน แพง' ให้ความเคารพนับถือมาก ภายหลังมีจิตปฏิพัทธ์ต่อ'พระลอ' โอรสเมืองอื่นซึ่งเป็นคู่อริกัน เพื่อน-แพง ให้ปู่เจ้าสมิงพรายใช้อิทธิฤทธิ์ เสกไก่แก้วให้พระลอตามไก่แก้วนั้น จนพบกับพี่น้องเพื่อน-แพงสมความปรารถนาท่านสามารถรักษาการเจ็บป่วยจาก การถูกของ ถูกกระทำ จากอำนาจไสยศาสตร์มนดำอย่างได้ผล....

      เรื่อง นี้เกิดขึ้นที่จังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นจังหวัดในภาคเหนือของไทย ท้าวแมนสรวงเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองแมนสรวง พระองค์มีพระมเหสีทรงพระนามว่า “ นาฏบุญเหลือ ” ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสพระนามว่า “ พระลอดิลกราช ” หรือที่นิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า “ พระลอ” กิตติศัพท์ว่าพระองค์เป็นหนุ่มรูปงามเลื่องลือไปทั่วสารทิศจนไปถึงเมืองสรอง ( อ่านว่าเมืองสอง ) ซึ่งเป็นเมืองที่ปกครองโดยท้าวพิชัยวิษณุกร พระองค์มีพระนามว่า “ พร
ดาราวดี ” และทั้งสองพระองค์มีพระธิดาผู้เลอโสมถึงสองพระองค์พระนามว่า “ พระเพื่อน” และ “ พระแพง ” เจ้าหญิงเพื่อนและเจ้าแพงได้ยินว่า พระลอเป็นชายหนุ่มรูปงามก็เกิดความสนใจใคร่จะได้ยลโฉม สอง พี่เลี้ยงคือนางรื่น และนางโรยสังเกตเห็นความกระตือรือร้นของนายหญิงของตนก็เข้าใจในพระประสงค์ ของทั้งสองพระองค์ สองพี่เลี้ยงจึงอาสาที่จะจัดให้นายสาวของตนได้พบกับพระลอ โดยการส่งคนไปขับซอในนครแมนสรวง ในขณะขับซอ นักดนตรีพรรณนาถึงความงามของเจ้าหญิงทั้งสอง ในขณะเดียวกันพี่เลี้ยงทั้งสองก็ได้ไปหาปู่เจ้าสมิงพราย เพื่อให้ช่วยทำเสน่ห์ให้พระลอหลงใหลในเจ้าหญิงทั้งสองปู่เจ้าสมิงพรายพวก เรา รู้จักปู่เจ้าสมิงพรายในฐานะบรมครูด้านเสน่ห์ ด้านภูตพรายวันนี้เรามาเจาะลึกประวัติของปู่จากวรรณคดีกันดีกว่าครับ เรื่องพระลอนี่ผมเคยอ่านตอนอยู่ป.5รู้สึกติดใจในปู่
เจ้ามากพอโตมาเล่นของเลย ศึกษาประวัติท่านเรื่อยมาครับ....ในวรรณคดีเรื่องพระลอพูดถึงการที่พระธิดาต้องการทำเสน่ห์พระลอแต่การจะทำเสน่ห์พวก เจ้าเมืองนั้นยากมากเพราะที่เมืองจะมีทั้ง พระเสื้อเมือง เทวดาคุ้มเมือง และหมอยาเก่งๆในวังมากมาย พระธิดาจึงต้องหาหมอที่มือแน่ที่สุดในการทำเสน่ห์ ในที่สุดก็ใด้ปู่เจ้าสมิงพรายเป็นผู้ทำ และสำเร็จซะด้วย
             ในเรื่องใด้ บรรยายลักษณะของปู่เจ้าสมิงพรายดังนี้ครับ คือ ไม่ผอม ไม่อ้วน ไม่หนุ่ม ไม่แก่คิ้วสวย ตาสวยปากสวยและมีชีวิตอยู่มาถึงกัลป์แล้ว แต่ลักษณะทุกอย่างของท่านล้วนแต่พอดีไปหมดครับ คงจัดว่าเป็นชายงาม ขนาดพระธิดายังชื่นชมเลยเมื่อพระเพื่อนพระแพง
เจอท่าน จะขอให้ท่านทำของให้แล้วจะให้แก้วแหวนเงินทอง วัวควาย ท่านไม่รับครับท่านบอกว่าเป็นระดับเทพแล้วจึงไม่ต้องการ ท่านรับไว้แต่หมากที่พระธิดานำไปถวาย

          การทำเสน่ห์ของปู่ ในครั้งแรก ท่านเอาไม้เลี้ยง ไม้ไล่ ไม้ไผ่ มาไขว้เป็นลูกกลมๆคล้ายตะกร้อ เขียนรูปพระลออยู่ตรงกลาง เขียนรูปพระนางทั้ง2กอดคนละข้างและเขียนยันต์เป็นขอบ และกวักมือไปที่ยอดต้นยางใหญ่7คนโอบ ยอดต้นยางค้อมมาหาปู่ ท่านเอาลูกตะกร้อลงยันต์นั้นวางบนยอดยางและปล่อยให้ดีดออกไปตามลมถูกพระลอ หลังจากนั้นพระลอก็เพ้อคลั่งอยากไปหาพระเพื่อนพระแพง เสด็จพ่อเห็นท่าไม่ดี รู้ว่าลูกโดนของ จึงไปหาหมอหายาดีทั่วสารทิศมารักษา ในที่สุดครั้งแรกคณะแพทย์หลวง ก็สามารถแก้ใด้เมื่อปู่เจ้าท่านรู้ดัง นั้นก็เอาใหม่ คราวนี้เปลี่ยนเป็น เอาธงสามชายมา เขียนยันต์ลงไปมากกว่าเก่า แล้วใช้ต้นตะเคียนขนาด9คนโอบ โน้มลงมาแล้วดีด ธงสามชายนั่นไป ถูกพระลอเป็นครั้งที่สอง คราวนี้พระลอเพ้อคลั่งยิ่งกว่าครั้งเก่า หมอเก่งในเมืองต่างจนปัญญากัน

           จึงต้องไปเชิญหมอชื่อ ปู่หมอสิทธิไชย ซึ่งอาศัยอยู่ในป่าชานเมืองมารักษา ปู่หมอทำพิธีเชิญบารมีครูบาอาจารย์และเทพในเมืองมารักษา ในที่สุดก็ช่วยถอนใด้เป็นครั้งที่สอง

       
เมื่อปู่เจ้าเห็นดังนั้น ท่านจึงคิดจัดการให้แตกหัก ท่านจึงเชิญเทวดาและผีพรายต่างๆมาเป็นกองทัพ เพื่อจะบุกเข้าไปสู้กับเทวดาที่รักษาเมืองสรอง บรรดาเทพและพรายที่มาช่วยปู่เจ้าต่างขี่เสือ สิงห์ แรด และสัตว์ดุร้ายต่างๆมากมาย ตามความบทนี้ครับ ๑๔๔ ปู่รำพึงถึงเทพดา หากันมาแต่ป่า มาแต่ท่าแต่น้ำ มาแต่ถ้าคูหา ทุกทิศมานั่งเฝ้า พระปู่เจ้าทุกตำบล ตนบริพารทุกหมู่ ตรวจตราอยู่ทุกแห่ง ปู่แต่งพระพนัสบดี ศรีพรหมรักษ์ยักษกุมาร บริพารภูตปีศาจ ดาเดียรดาษมหิมา นายกคนแลคน ตนเทพผู้ห้าวท้าวผู้หาญ เรืองฤทธิ์ชาญเหลือหลาย ตั้งเป็นนายเป็นมุล ตัวขุนให้ขี่ช้าง บ้างขี่เสือขี่สีห์ บ้างขี่หมีขี่หมู บ้างขี่หมูขี่เงือก ขี่ม้าเผือกผันผาย บ้างขี่ความขี่แรด แผดร้องก้องน่ากลัว ภูตแปรตัวหลายหลาก แปรเป็นกากภาษา เป็นหัวกาหัวแร้ง แสร้งเป็นหัวเสือหัวช้าง เป็นหัวกวางหัวฉมันตัวต่างกันพันลึก ละคึกกุมอาวุธ เครื่องจะยุทธ์ยงยิ่ง เต้นโลดวิ่งระเบง คุกเครงเสียงคะครื้น
ฟื้นไม้ไหล้หินผา ดาดดากันผาดเผ้ง ระเร้งร้องก้องกู่เกรียง เสียงสะเทือนธรณี เทียบพลผีเสร็จสรรพ ปู่ก็บังคับทุกประการ จึ่งบอกสารอันจะใช้ ให้ทั้งยามนตร์ดล บอกทั้งกลอันจะทำให้ยายำเขาเผือด มนตราเหือดหายศักดิ์ ให้อารักษ์เขาหนี ผีเขาแพ้แล้วไซร้ กูจึ่งจะใช้สลาเหิร เดิรเวหาไปสู่ เชิญพระภูธรท้าว ชักมาสู่สองหย้าว อย่าคล้าคำกู สั่งนี้ ฯ

ในที่สุดกองทัพของปู่ก็บุกไป สู้กับกองทัพของพระเสื้อเมืองสรอง และเอาชนะพระเสื้อเมืองใด้ ผีป่าต่างบรรดาลให้เกิดอาเพศทั่วเมืองสรวง ฟ้าผ่า ฟ้าเหลือง เกิดเมฆหมอก ปู่หมอสิทธิไชยเห็นดังนั้นก็ถอดใจทันที ทูลพระราชาไปตามตรงว่าไม่สามารถสู้กับปู่เจ้าใด้เลยหยูกยาทั้งหลายก็ ถูกบริวารปู่เจ้าถอนเสื่อมไปหมด หลักจากที่ใด้ชัยชนะทางผีแล้ว ปู่เจ้าท่านก็เสกหมากเป็นแมลงภู่บินเข้าไปในวังตกลงในเชี่ยนหมาก(วิชานี้ใน เรื่องเรียก สลาเหินครับ) พระลอเสวยหมากคำนั้นเข้าไปก็ใด้เรื่อง เกิดอาการคุ้มคลั่งจะออกป่าให้ใด้

แม้แต่ หมอสิทธิไชยก็ไม่สามารถช่วยใด้แล้ว เพราะเทวดาประจำเมืองหนีไปหมดแล้ว ในที่สุดพระบิดามารดาก็ห้ามไม่ไหว และในที่สุดพระลอก็ออกป่าไป ในที่สุด ....นี่แหละครับเป็น เรื่องส่วนหนึ่งของปู่เจ้าสมิงพรายจากเรื่องพระลอท่าน จึงถือเป็นบรมครูด้านเสน่ห์และภูตพราย ขอบารมีของท่านปกป้องทุกท่านครับ

 
วิธีการบูชาปู่เจ้าสมิงพราย

การที่จะไปกราบไหว้บนบานปู่เจ้าสมิงพรายนั้นก็เหมือกับการไหว้ปู่ฤษีตามปกติ สิ่งที่ถวายไม่ควรเป็นของคาวควรเป็นผลไม้ หมากพลู บุหรี่ ยาเส้น น้ำดื่ม พวงมาลัยและดอกไม้


คาถาบูชาปู่เจ้าสมิงพราย

สวดนะโม 3 จบ....
 ยะมะหัง ครูอาจาริยัง สะระณังคะโต อิมินา สักกาเรนะ ครูอาจาริยัง อภิปูชะยามิ
ทุติยัมปิ ยะมะหัง ครูอาจาริยัง สะระณังคะโต อิมินา สักกาเรนะ ครูอาจาริยัง อภิปูชะยามิ
ตะติยัมปิ ยะมะหัง ครูอาจาริยัง สะระณังคะโต อิมินา สักกาเรนะ ครูอาจาริยัง อภิปูชะยามิ
   โอมกูจะครอบฟ้าและแผ่นดิน กูจะครอบพระสมุทรและสายสินจน์ กูจะครอบพระอาทิตย์และ
พระพรหม กูจะครอบพระยมและพระกาฬ กูจะครอบท้าวโลกบาลทั้งสี่ ทั้งกูจะครอบทั้งตัวกู กู
เป็นลูกปู่เจ้าสมิงพราย ครูกูจึงจะใช้ ให้เรียกคุณมนต์ดลแลจ่ามนต์และพระยามนต์อย่าได้ไปไกล
จากตนกูโอมประสิทธิแก่กู สวาหะ.....

 

พระฤษีสันทราย....( ไม่มีภาพ )

องค์นี้ตามประวัติเดิมท่านเป็นพราหมณ์ที่ได้รับการอบรมศึกษาทางด้านวิชาการจากสำนักที่มีชื่อเสียงของเมืองตักกศิลา จนกระทั่งมีความรู้ความสามารถที่เชี่ยวชาญเมื่อเรียนสำเร็จแล้วก็บวชเป็นพระฤษี แล้วออกไปบำเพ็ญตบะอยู่ที่ป่าหิมพานต์ต่อมาท่านก็ได้บรรลุฌาณชั้นสูงจึงมีศิษย์มากมายท่านต้องการที่จะให้ศิษย์ได้รับความสะดวกสบายไม่ต้องทนลำบากอยู่ในป่าหิมพานต์ที่เต็มไปด้วยอันตราย จึงได้ย้ายสำนักไปอยู่ชายแดนของประเทศกาสี ในหมู่บ้านคามนิคมซึ่งที่นั่นมีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยโภชนาหารพร้อมเพรียง ผิดกับในป่าหิมพานต์เป็นอันมาก
   พระฤษีสันทรายได้้ตั้งสำนักเป็นหลักเป็นฐานอยู่ในบ้านคามนิคมนั้นมาเป็นเวลานาน ก็มีศิษย์มากขึ้นเป็นลำดับจึงทำให้ชื่อเสียงของพระฤษีองค์นี้โด่งดังไปไกลแสนไกล เมื่อใครๆรู้ข่าวก็มีความเลื่อมใสศรัทธา นำเอาข้าวปลาอาหารมาถวายกันมิได้ขาด ภายในบริเวณอาศรมก็มีลิงตัวหนึ่งเป็นลิงทะโมนตัวใหญ่มากและก็มีนิสัยซุกซน ชอบกลั่นแกล้งตามสัญชาติของลิง มันอาศัยอยู่บนต้นโมกข์ใกล้กับอาศรมพระฤษี เวลาใดที่พระฤษีออกไปบิณฑบาตหรือว่าไปทำธุระภายนอกเจ้าลิงตัวนี้มันจะลงมาจากต้นโมกข์แล้วตรงเข้ารื้อข้าวของในอาศรมให้กระจุยกระจายได้รับความเสียหายอยู่เป็นประจำ บางครั้งมันก็ถ่ายอุจจาระรดอาศรมเอาดื้อๆ บางครั้งก็ทุบทำลายเครื่องใช้ เช่น หม้อข้าวตุ่มน้ำและของที่แตกพังได้ จนพระฤษีแทบจะทนไม่ไหว
    ในวันหนึ่งๆจะมีญาติโยมที่มีจิตศรัทธานำข้าวปลาอาหารมาถวายให้พระฤษีฉันต์ เจ้าลิงตัวนั้นก็อยากกินบ้าง มันจึงคิดหาอุบายและช่องทางที่จะหลอกให้คนเข้าเชื่อถือมีความศรัทธาในตัวของมันจะได้นำเอาอาหารมาถวายบ้าง เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วมันจึงลงมาจากต้นโมกข์แล้วแกล้งสำรวมกิริยาอาการให้เหมือนกับพระฤษีคงนั่งขัดสมาธิ หลับตาเข้าฌาณในท่าทางของพระฤษีที่มันเคยเห็น แล้วจึงนำมาทำบ้าง เพื่อที่จะให้ผู้ที่มานั้นได้มีความเชื่อและเลื่อมใสในตัวของมันให้มาก....
ฝ่ายชาวบ้านที่พากันมานั้น เมื่อเห็นกิริยาอาการของลิงทะโมนตัวนั้น ก็มีความเลื่อมใสศรัทธาต่างก็ปรึกษาและโจษขานไปต่างๆนานา ด้วยความเชื่ออย่างมั่นใจในสำนักของพระฤษีนี้เป็นสถานที่ศักดิ์ศิษย์ และพระฤษีองค์นี้ท่านก็มีความสามารถอบรมสั่งสอนให้ดีได้แม้กระทั่งสัตว์เดียรัจฉาน
ก็ยังรู้จักปฏิบัติธรรมบำเพ็ญตบะเยี่ยงพระฤษีกลายเป็นสัตว์ผู้ทรงศีลไปได้
    ชาวบ้านยิ่งเพิ่มความมั่นใจขึ้นมาอีกจึงได้กล่าวยกย่องชมเชยต่อหน้าพระฤษี ซึ่งก็เล่นเอาพระฤษีถึงกับกระอักกระอ่วน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เลยเปิดเผยขึ้นว่า... ' จะไปหลงเชื่ออะไรกับลิง โยมทั้งหลายไม่รู้จักนิสัยของลิงหรอกหรือ ถ้ายังไม่รู้จักธรรมชาติและกำพืดของมันก็อย่าไปหลงกลมันอย่าเพิ่งไปชมว่ามันดี '...
    พวกชาวบ้านกลุ่มนั้นพากันนิ่งเงียบไปตามๆกันด้วยความสงสัยในคำพูดของพระฤษี 'อ้าว..แล้วนั่นไม่ใช่ศิษย์ของพระคุณเจ้าหรอกหรือ ' ....ชาวบ้านคนหนึ่งถามขึ้นมาตรงๆ หลังจากที่ทุกคนยังนิ่งฟังและมองหน้าพระฤษีอยู่ ...' เปล่าหรอกโยม ไอ้ลิงตัวนี้แหละมันเป็นลิงเกเร ที่ชอบรบกวนรัง
แกอาตมาอยู่บ่อยๆ เช่น ทุบทำลายข้าวของ ถ่ายอุจจาระรดศาลา เที่ยวเอาไฟไปเผาไอ้โน่นไอ้นี่ด้วยความสนุก และซุกซน จนกระทั่งอาตมาได้รับความเดือดร้อนจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว..'
    เมื่อชาวบ้านทั้งหมดได้ทราบเหตุผลต้นปลายจากพระฤษี ก็มีความโกรธแค้นเจ้าลิงทะโมนตัวนั้นมากถึงขนาดหาไม้ ก้อนอิฐ ก้อนหิน ก้อนดิน เอามาช่วยกันขว้างปา จนกระทั่งเจ้าลิงตัวนั้นทนต่อความเจ็บปวดไม่ได้ จึงต้องหนีไปอยู่ที่อื่น ทั้งอาหารที่มันต้องการก็ไม่ได้กิน มิหนำซ้ำยังต้องเจ็บตัวอีก ชาวบ้านไม่ยอมลดละถ้าหากขืนดื้อดึงอยู่ต่อไป  ก็คงจะต้องตายแน่ๆ หลังจากที่ลิงทะโมนหนีเข้าป่าไปแล้วพระฤษีท่านก็ฉันภัตตาหารแล้วก็แสดงธรรมโปรดญาติโยมทั้งหลายแล้วจากนั้นท่านอพยพกลับไปอยู่ในป่าหิมพานต์อีกครั้ง เรื่องราวของพระฤษีสันทรายและเจ้าลิงทะโมนยังไม่จบลง
ง่ายๆ....
    ครั้งหนึ่งมีชาวบ้านได้เข้ามาร้องเรียนกับท่านท้าวพรหมทัต ทางด้านชายแดนของเมืองพาราณสีนั้น บัดนี้ได้มีกองโจรเข้ามาอาละวาดทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนพระราชาทรงทราบเรื่องเช่นนั้นก็ยกกองทัพหมายออกไปปราบโจรพวกนั้น ครั้นกองทัพเดินทางมาถึงป่าใหญ่ แต่ก็ยังมิได้พบกับกองโจร พระราชามีพระบัญชาให้หยุดทัพเพื่อที่จะให้ทหารพักผ่อน เมื่อ
หยุดพักแล้วพวกทหารก็เอาเสบียงออกมาแจกจ่ายกันกินซึ่งในสมัยนั้นก็มักจะเป็นการคั่วข้าวตากเป็นอาหารหลักกันแทบทั้งนั้น ต่างก็เอาข้าวตากใส่ภาชนะแล้ววางไว้มิทันได้กิน ทหารคนนั้นก็หันไปทำธุระทางอื่นก่อน ซึ่งในขณะนั้นก็หาได้พ้นสายตาของลิงทะโมนตัวที่ถูกชาวบ้านไล่ขว้างปาจนต้องหนีเข้าป่าซึ่งมันก็กำลังหิว แอบซุ่มดูเหตุการณ์อยู่บนต้นไม้ใหญ่อย่างเงียบเชียบเมื่อเห็นอาหารมันก็อยากกินและก็เป็นจังหวะที่ทหารคนนั้นกำลังเผลอมันก็ย่องเงียบเข้าไปโขมยเอาข้าวตากใส่ปากจนเต็มแล้วก็รีบปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่มันเคี้ยวข้าวตากอย่างเอร็ดอร่อย แต่บังเอิญมันทำข้าวตากที่อยู่
ในปากตกลงพื้นดิน เจ้าลิงทะโมนมันแสนเสียดายข้าวตากเมล็ดนั้นมาก ถึงกับต้องคายข้าวตากที่อยู่ในปากทิ้งแล้วรีบไต่ต้นไม้ลงมาเพื่อที่จะหาข้าวตากเมล็ดนั้นให้ได้ แต่ทว่ามันพยายามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ ทั้งของในปากก็คายทิ้งหมดแล้ว ด้วยความเสียดายกลายเป็นความเสียใจ มันไต่ขึ้นไปนั่ง
เหงาที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ที่ทิ้งของใหญ่ลงไปหาของเล็กแล้วในที่สุดมันก็อดทั้งสองทางมันจึงมีอาซึมด้วยความเสียดาย
   พอดีกับพระราชาเสด็จมาทางนั้นเมื่อแหงนหน้าขึ้นไปมองก็เห็นอาการหงอยเหงาของเจ้าลิงทะโมนตัวนั้น ก็ทรงแปลกพระทัย คิดว่าจะต้องมีเหตุร้ายแน่นอน พระราชาจึงมุ่งหน้าเข้าไปหาพระฤษีสันทราย เพื่อให้ทำนายในเหตุการณ์ครั้งนี้ ...'พระองค์จะไปเชื่ออะไรกับลิง นิสัยและสันชาติของมันเช่นนั้น มันมีสันดานอย่างนั้น พอใจในสิ่งที่ตกหล่น ชอบทิ้งของใหญ่ๆหวังจะได้ของเล็ก แต่แล้วมันก็ไม่ได้ทั้งเล็กทั้งใหญ่ มันจึงต้องมานั่งหงอยเหงาให้ผู้ที่ไม่รู้เท่าทันสงสารมัน ก็นั่นแหละที่จะเข้าทำนองให้ลิงหลอก เพราะนิสัยของมันชอบหลอก ตามคำภาษิตก็ยังได้บอกเอาไว้ว่า ชอบหลอกเหมือนลิงจริงไหมล่ะบพิตร '...
    พระราชานิ่งฟังการบรรยายของพระฤษีด้วยความเลื่อมใสศรัทธา...'จริงของพระคุณเจ้านั่นแหละแล้วกองทัพมาที่นี่จะมีอุปสรรคไหมขอรับ' ....พระราชายังถามเพื่อความมั่นใจ พระฤษ๊จึงตอบว่า'...มหาบพิตรก็เห็นอยู่แล้วจากเจ้าลิงทะโมนตัวนั้น มันทิ้งของใหญ่เพราะว่ามันเสียดายของเล็กก็
เปรียบได้กับมหาบพิตรที่กำลังจะเอาของใหญ่ไปแลกกับของเล็กที่หาคุณค่ามิได้  อันของใหญ่นั้นเปรียบได้กับกองทัพมหาบพิตรแต่ไอ้ของเล็กๆอันน้อยนิดที่หาค่ามิได้ก็เห็นจะเปรียบได้กับกองโจรนั่นแหละ มันไม่เป็นการสมควรที่จะต้องไปแลกกันเลยเพราะว่าค่ามันไม่เท่ากันถ้าหากว่าพลาดพลั้ง
ลงไปแล้วก็คงจะได้รับความเดือดร้อน ได้รับอันตรายได้รับความเสียยายอย่างมหาศาล'
พอพระฤษีกล่าวจบ พระราชาก็ก้มลงกราบด้วยความเคารบอย่างจริงจัง จึงสั่งให้ทหารนำเอาเสบียงมาถวายพระฤษีแล้วจึงยกทัพกลับพระนคร หลังจากที่พระราชาพรหมทัตยกกองทัพกลับเข้าเมืองพาราณาสีแล้ว เจ้าลิงทะโมนใหญ่ตัวนั้นมันก็ลงจากต้นไม้แล้วท่องเที่ยวรอนแรมไปในป่า จนกระทั่งมีสมัครพรรคพวกอยู่รวมกันเป็นฝูงหากินกันอยู่ในป่าหิมพานต์นั่นเอง ลิงทุกตัวในฝูงต่างฝ่ายต่างรู้ช่ิงทางในการหากินอาหารกันเป็นอย่างดีเจ้าทะโมนตัวใหญ่กว่าเพื่อนจึงได้รับการยกย่องให้เป็นหัวหน้าฝูง คอยออกหัวคิดวางแผนในการหากินและควบคุมดูแลบริวารเหล่านั้น ตั้งแต่นั้นมาจึงมีความสุขขึ้นมาบ้าง วันหนึ่งบริวารลิงได้มาบอกเจ้าทะโมนหัวหน้าฝูงว่ามีต้นมะม่วงอยู่ต้นหนึ่ง เมื่อถึงฤดูที่ออกผลพวกตนเคยไปเก็บมากินทุกปี เราะว่ามะม่วงต้นนั้นทั้งดกและยังมีรสอร่อยอีกด้วย แต่มาบัดนี้พระฤษีสิงคานก็ได้พาพรรคพวกเข้ามาปลูกสร้างอาศรมบริเวณนั้น จึงยากต่อการที่ีพวกเราจะเข้าไปเก็บ
กินได้เพราะพระฤษีเหล่านั้นได้ยึดอำนาจถือสิทธิ์เป็นเจ้าของไปแล้ว เจ้าลิงทะโมนใหญ่มันก็ยังมีใจเจ็บแค้นและอาฆาตพยาบาทต่อพระฤษีอยู่จึงชวนกันไปโขยมมะม่วงกิน โดยที่ตนจะหาอุบายและแก้ไขสถานการณ์เอง พวกบริวารแรกๆก็ยังไม่กล้าไป เพราะกลัวว่าพระฤษีท่านจะทำร้ายเอา แต่เมื่อได้
รับการรับรองจากเจ้าทะโมนใหญ่อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ จึงตดลงยกขบวนพากันไปที่ต้นมะม่วงนั้นแต่ก็ยังมิกล้าเข้าไปเพราะว่ายังเป็นเวลากลางวัน กลัวพระฤษีจะเห็น
   พวกลิงเหล่านั้นจึงพากันหลับพักผ่อนนอนคอยทีอยู่บนต้นไม้รอบๆบริเวณอาศรมของพระฤษีอย่างเงียบเชียบเพื่อรอเวลาให้ถึงตอนดึก แล้วจะได้เข้าไปเก็บมะม่วงโดยที่ไม่มีใครเห็น หลังจากที่พวกมันรอคอยกันมาเป็นเวลานานก็ถึงเวลาดึกสงัด พวกลิงทั้งฝูงจึงพากันย่องเงียบมาขึ้นต้นมะม่วงแต่เจ้าทะโมนมันมัวแต่หลับอยู่จึงไม่ได้เข้ามาด้วย คงปล่อยให้พวกบริวารเหล่านั้นขึ้นไปเก็บกินผลมะม่วงอย่างเอร็ดอร่อย ก็บังเอิญมีพระฤษีองค์หนึ่งในจำนวนศิษย์ของพระฤษีสิงคานออกจากอาศรมมาทำธุระภายนอก ก็เห็นลิงทั้งฝูงขึ้นไปโขมยผลมะม่วงจึงกลับเข้าไปบอกพวกพระฤษีทั้งหมดให้ออกมาช่วยกันล้อมต้นมะม่วงเอาไว้ เพื่อจะรอให้สว่างเสียก่อนจึงจะจับลิงพวกนั้นได้ พระฤษีทั้งหลายจึงต้องนั่งเฝ้ากันอยู่อย่างนั้นทั้งคืน โดยการนำเอาเศษฟืนมาสุมไฟนั่งผิงกันหนาว กันลิ้นกันยุงไปในตัว คอยเวลาให้ถึงตอนเช้า ฝ่ายเจ้าพวกลิงเห็นดังนั้นก็พากันตกใจมาก เนื่องจากไม่มีทางจะหนีไปไหนได้เลย จึงต้องนั่งเงียบกันอยู่บนต้นมะม่วงนั้น พอดีเจ้าทะโมนตื่นขึ้นมาเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็ตกใจจึงใช้ความคิดที่จะช่วยพวกบริวารเหล่านั้นให้ได้ มันจึงลงจากต้นไม้เดินกระสับกระส่ายไปมาได้สักพักมันก็คิดแผนการณ์ขึ้นมาได้ แล้วเจ้าทะโมนใหญ่จึงค่อยๆย่องเงียบเข้าไปทางด้านหลังของกลุ่มพระฤษีที่กำลังนั่งเฝ้าลิง และก็มิทันระวังว่าอะไรจะเกิดขึ้น เจ้าลิงทะโมนมันจึงฉวยโอกาสตอนที่พระฤษีเผลอ ค่อยๆย่องเข้าไปจนใกล้กองไฟ แล้วใช้ความว่องไวของมันให้เป็นประโยชน์มันวิ่งเข้าไปคว้าดุ้นฟืนที่มีไฟลุกโพลนได้ดุ้นหนึ่ง แล้วรีบวิ่งตรงไปอาศรมของพระฤษี แล้วจึงจุดไปเผาอย่างรวดเร็ว ไฟก็ได้ลุกพรึบขึ้นมาส่องแสงสว่างจ้า  ทำให้พวกพระฤษีที่เฝ้าลิงนั้นตก
ใจพากันวิ่งไปช่วยกันดับไฟที่อาศรม ส่วนพวกลิงที่อยู่ทางนี้ก็เก็บมะม่วงกินตามสบาย แล้วพากันหนีเข้าป่าไป  ทางด้านพระฤษีเมื่อช่วยกันดับไฟสงบลงแล้วก็พากันกลับมาที่ต้นมะม่วงอีกครั้ง แต่แล้วทั้งหมดก็พากันตกตะลึง ด้วยว่าที่มะม่วงต้นนั้นไม่มีลิงเหลืออยู่แม้แต่ตัวเดียว มิหนำซ้ำพวกมัน
ยังได้ช่วยกันขนมะม่วงบนต้นไปจนหมดเกลี้ยง
  
         พอดีพระฤษีสิงคานผู้ที่เป็นพระอาจารย์ของพระฤษีกลุ่มนั้นออกมา จึงเอ่ยขึ้นว่า ...( 'เป็นไงล่ะท่านเสียท่าลิงเข้าจนได้ ' พระฤษีกลุ่มนั้นต่างก็มองกันไปมาอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครกล้าพูดอะไร..'นี่แหละที่เขาว่าอย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง แต่มันไม่ใช่คนก็ต้องเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจลิง จะยุ่งกันใหญ่ เป็นถึงพระฤษียังเสียท่าให้ลิง โดนลิงหลอกแล้วจะให้เรียกกันว้าอะไรล่ะ ถ้าหากไม่ใช่คำว่า '..โง่ยิ่งกว่าลิง '
   ต่อมาอีกไม่นานนักเจ้าลิงทะโมนใหญ่ตัวนั้นมันก็มาครุ่นคิดว่าการที่มันมาอยู่ในฝูงเป็นหัวหน้านั้น มันมีแต่ความรับผิดชอบทุกๆอย่างทางที่ดีแล้วควรจะออกไปเผชิญโชคแต่เพียงลำพังคงจะดีเสียกว่า เมื่อมันคิดเช่นนั้นแล้วมันจึงทิ้งฝูงเดินรอนแรมไปในป่า และในเวลานั้นเป็นฤดูแล้ง อาหารการกินก็ไม่ค่อยมี ผลไม้บนต้นทุกต้นก็เกลี้ยงต้น อีกทั้งฝนก็ไม่ตกน้ำตามลำธารก็แห้งขอดจนกระทั่งดินแยกแตกระแหง จึงทำให้เจ้าลิงทะโมนมันเกิดความลำบากมาก ทั้งเหนื่อยทั้งหิว ทั้งร้อนเข้ามาประดัง ครั้งจะกลับไปเข้าฝูงเหมือนเดิมก็ขี้เกียจเพราะจะต้องย้อนกลับไปอีกไกลมากมันจึงต้องใช้ความ
พยายามและอดทนเดินทางต่อไป จนกระทั่งมาถึงอาศรมของพระฤษีอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งในบริเวณนั้นมีสระน้ำอันกว้างใหญ่และสูงชัน มันไม่สามารถจะลงไปกินน้ำได้ เจ้าทะโมนใหญ่ก็จนปัญญา แต่มันจะต้องกินน้ำให้ได้เพราะกระหายหิวเหลือเกิน มันจึงแอบซุ่มคอยดูจังหวะอยู่เงียบๆ

           พระฤษีสัตบัน พระฤษีองค์นี้ท่านก็มีฤทธิ์มาก มีตบะบารมีในขั้นสูง ได้บำเพ็ญตนสร้างบารมีอยู่ในอาศรม แห่งป่าหิมพานต์เช่นเดียวกัน หลังจากที่ท่านออกจากตบะฌาณแล้ว ท่านก็ออกจากอาศรม พร้อมทั้งถือกระป๋องผูกเชือก ซึ่งเป็นเครื่องมือในการตักน้ำเดินมุ่งหน้าไปทางสระน้ำหวังจะอาบน้ำ ชำระร่างกายให้สบายหายจากความร้อน แล้วพระฤษีก็ถือเชือกหย่อนกระป๋องลงไปจ้วงตักน้ำในสระขึ้นมาอาบ เจ้าลิงทะโมนเห็นดังนั้นก็ดีใจรีบไต่ลงมาจากต้นไม้แล้วเดินเข้าไปหาพระฤษีสัตบัน แล้วกล่าว
กับพระฤษีว่า ...'ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าหิวน้ำเหลือเกิน ขอพระคุณเจ้าจงเวทนาสงสารให้ทานน้ำแก่ข้าพเจ้าได้กินพอมีกำลังด้วยเถิด ข้าพเจ้าแทบจะหมดแรงอยู่แล้ว ทั้งหิวทั้งร้อน ทั้งเหนื่อยเป็นกำลัง '...พระฤษีสัตบันท่านก็มีเมตตาจิตอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ เมื่อได้รับความทุกข์แล้ว
ท่านก็จะต้องช่วยเสมอ จึงตักน้ำเทใส่ภาชนะให้ลิงกินด้วยจิตที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาสงสาร    เมื่อเจ้าลิงทะโมนใหญ่ได้กินน้ำจนอิ่มแล้วจึงมีความสดชื่นและมีกำละงแข็งแรงก็เดินกลับไปที่ต้นไม้พักเหนื่อยอีกครู่หนึ่ง พอดีพระฤษีอาบน้ำเสร็จจึงกลับเข้าอาศรม แล้วนำเอาอาหารและผลไม้ออกมาฉัน โดยที่ท่านไม่ได้คิดถึงลิงตัวนั้นอีกเลย เจ้าลิงใหญ่มันเห็นพระฤษีเดินหายเข้าไปในอาศรม มันจึงตามเข้าไปบ้างและทำกิริยาอาการอิดโรยให้พระฤษีเห็นว่าตนกำลังหิว เผื่อว่าพระฤษีท่านจะสงสารแล้วให้อาหารบ้าง พระฤษีท่านเห็นอาการดังนั้น ก็จัดแบ่งอาหารและผลไม้ส่งให้เจ้าลิงทะ
โมนกินจนอิ่มหนำสำราญดีแล้ว ก็มีกำลังวังชาขึ้นมาเหมือนเดิม มันจึงเริ่มออกฤทธิ์ทันทีเข้าทำการรื้อค้นของในอาศรมของพระฤษีให้กระจุยกระจาย ฝ่ายพระฤษีจึงเอ่ยว่า...'ชะ..ชะ.เจ้าทะโมนนี่ข้าให้ข้าวให้น้ำเจ้ากินยังไม่พออีกหรือ ยังจะซุกซรอีก...' พระฤษีท่านยังไม่มีความโกรธจึงพูดด้วยน้ำ
เสียงอันราบเรียบเดพื่อจะตักเตือน แต่คำพูดของพระฤษีไร้ผล เหมือนกับจะยิ่งยุให้เจ้าทะโมนมันแผลงฤทธิ์มากขึ้น ...'แล้วกันซีหว่า พูดกันไม่รู้เรื่องจะแกล้งกันไปถึงไหนอีกล่ะ...' เจ้าทะโมนหันกลับมามองแล้วมันก็โก่งตูดให้เป็นการหลอกล้อให้พระฤษีโกรธ ..'แน่ะ...ว่าแล้วยังจะมาล้อเลียนอีก ทำสันดานยังกะลิงแน่ะ'...เจ้าทะโมนยังไม่หยุดล้อเลียนพร้อมทั้งมันยังตอบกลับไปว่า...'ก็ลิงน่ะซี ท่านไม่รู้จักลิงหรอกหรือ ว่าลิงนั้นเป็นอย่างไรและมีนิสัยอย่างไรเท่านี้ยังไม่พอประเดี๋ยวท่านก็คงจะรู้ว่าลิงนั้นมันมีพิษสงอะไรบ้าง'...ว่าแล้วเจ้าลิงทะโมนก็โหนขึ้นไปบนขื่อ แล้วถ่ายอุจจาระรด
หัวพระฤษีทันที คราวนี้ได้ผล พระฤษีโกรธจนตาแดงทั้งสองข้างพร้อมกับชี้หน้าด่าลิง...'ไอ้ลิงชั่วไอ้ลิงเลว ไอ้ลิงเนรคุณ หนอยแน่ะมึง มันจะมากไปแล้ว กูอุตส่าห์ให้ข้าวให้น้ำมึงกินมึงยังเนรคุณหนอย..เสือกมาขี้รดหัวกูได้ ไปให้พ้น'...
   แทนที่เจ้าทะโมนมันจะกลัว กลับแยกเขี้ยวยิงฟัน ทำท่าล้อเลียนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งพระฤษีอดใจอยู่ไม่ไหว จึงคว้าไม้เท้าหมายจะตีลิง เจ้าทะโมนเห็นดังนั้นก็รีบไต่ลงจากขื่อวิ่งหนีออกจากอาศรมไป แต่ก็ยังไม่วายที่จะหลอกล้อพระฤษีด้วยท่าทีต่างๆจนพระฤษีรำคาญจึงร่าวพระเวทย์บันดาล
ให้ฝนตกใหญ่เพื่อจะแกล้งลิงบ้าง มันจะได้หนีไปเสียให้พ้นๆจะได้ไม่ต้องมารำคาญอีกต่อไป
    ฝ่ายเจ้าทะโมนเมื่อโดนฝนจนเปียกชุ่มก็ให้มีอาการหนาวสั่น ครั้งว่าจะย้อนเข้าไปอาศัยร่มเงาของอาศรมก็ไม่ได้เสียแล้ว มันเกิดกลัวพระฤษีที่ทำท่าเอาจริง แล้วเจ้าทะโมนมันก็ต้องวิ่งหนีฝนออกไปจากที่นั่นโดยเร็วที่สุดทั้งๆที่หนาวสั่น มันวิ่งไปอย่างไม่ยอมหยุดจนกระทั่งห่างไกลมามาก ที่มันต้องวิ่งก็เพราะจะช่วยบรรเทาความหนาวลงได้บ้าง เจ้าลิงทะโมนเจอเข้ากับฤทธิ์ของพระฤษีมันคงจะเข็ดไปอีกนานเลยทีเดียว


พระฤษีโคนข่อย.....( ไม่มีภาพ )

   พระฤษีองค์นี้ไม่มีใครรู้ประวัติของท่านโดยแท้จริง ไม่รู้แม้กระทั่งถิ่นกำเนิดของท่าน แม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนามของท่านก็ไม่มีใครรู้จัก ท่านมีตบะฌาณที่อยู่ในขั้นสูงอีกผู้หนึ่ง บำเพ็ญตบะอยู่ในอาศรมแห่งป่าหิมพานต์นั้นและอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคามหานที อาศรมของท่านปลูกสร้างอยู่ที่โคนต้น
ข่อยใหญ่ที่มีความร่มเย็น ด้วยอิทธิฤทธิ์และชื่อเสียงของท่านโด่งดังไปไกลใครๆจึงพากันเรียกท่านว่า...พระฤษีโคนข่อย
    ในเรื่องราวและความสัมพันธ์ของท่านเมื่อกาลก่อน ในสมัยที่ท่านท้าวพรหมทัต ได้เป็นกษัตริย์อยู่ในนครพาราณสี ในกาลครั้งนั้น.....

มีต่อ................




 

นำเสนอข้อมูลโดย....กุหลาบขาว

ที่มา หนังสือดวงมหาลาภ ฉบับพิเศษ (ตำนานพระฤษี)

ความคิดเห็น :
1
อ้างอิง

1152
 
1152 [115.67.230.xxx] เมื่อ 2/05/2013 08:49
2
อ้างอิง

ใครวะ
อยากเห็นรูป ปู่เจ้าสมิงพราย
 
ใครวะ [125.26.194.xxx] เมื่อ 18/06/2013 11:20
3
อ้างอิง

กุลาบขาว
 
กุลาบขาว [171.5.179.xxx] เมื่อ 5/08/2013 15:29
ความคิดเห็นของผู้เข้าชม
ชื่อผู้แสดงความคิดเห็น :
สถานะ : รหัสผ่าน :
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง :
รหัสความปลอดภัย :
 


บทความ
บทความทั่วไป
รวม LINK โหลดสื่อธรรม
การลดกรรม 45อย่าง ผลของกรรม
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ พระพุทธเจ้า
พุทธประวัติ คือ ประวัติของพระพุทธเจ้า
ประวัติพระพุทธศาสนา
ตำนานพระฤาษีและการบูชาพระฤาษี
พระแม่คายตรีมนตรา เทพีแห่งมนต์ตรา
108 พระนาม พระลักษมี
บูชาองค์อย่างไร
ประวัติพญานาค
พญานาค
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พุทธทำนาย-2
พุทธทำนาย-1
พระมหาโพธิสัตว์กวนอิม 84 ปาง
ตำนาน ประวัติ พระแม่กวนอิมอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์
ตำนานฤาษี 108 ตน ตอน 8
ตำนานฤาษี 108ตน ตอน 7
ตำนานฤาษี 108 ตน ตอน 6
ตำนานฤาษี 108 ตน ตอน 5
ตำนานปู่ฤาษี 108 ตน ตอน 4
ตำนานพระฤาษี 108 ตน ตอน 3
ตำนานปู่ฤาษี 108 ตน ตอนที่ 2
ตำนานพระฤาษี 108 ตน
ปู่ฤาษีนารอด พ่อแก่ บรมครูปู่ฤาษี
ปู่หมอชีวกโกมารภัจจ์
เทวดาประจำตัว,เทวดามาสร้างบารมี,มีองค์
เหตุใดเทวดาตายแล้วจึงอยากเกิดเป็นมนุษย์
กุมารทอง กุมารี
ดูการ์ตูนประวัติพระพุทธศาสนา ออนไลน์
พระราม राम
หนุมาน ผู้เก่งกล้า ว่องไว องค์รักษ์พระราม
นางกวัก เทวีแห่งการค้ารุ่งเรือง
พระแม่โพสพ เทวีแห่งข้าวปลาอาหาร
พระแม่ธรณีหรือแม่พระธรณี भारत माता (Mother Earth)
พระแม่คงคา गङ्गा เทวีแห่งสายน้ำ
พระขันทกุมาร मुरुगन เทพแห่งสงคราม
พระกฤษณะ कृष्ण อวตารของพระนารายณ์
พระแม่อุมาเทวี 9 ปาง,พระแม่ปาราวตี पार्वती 9 ปางนวราตรี
พระนางสุรัสวดี (Saraswati, सरस्वती)
พระแม่กาลีหรือกากิลา काली อวตาลหนึ่งของพระแม่อุมา
พระพรหม (Brahmā ,Sanskrit: ब्रह्मा) คือ พระเจ้าผู้สร้าง
พระแม่ลักษมี (Lakshmi,Sanskrit: लक्ष्मी)
พระตรีศักติ,พระแม่สามภพ,พระศักติ,พระแม่ตรีเอกานุภาพ
พระวิษณุหรือพระนารายณ์
พระมหาตรีมูรติ The Trimurti (English: ‘three forms’; Sanskrit: त्रिमूर्तिः trimūrti)
พระแม่อุมาเทวี(พระแม่ทุรคา,พระแม่กาลี) Parvati (Devanagri: पार्वती, Kālī: काली)
พระพิฆเนศมหาเทพ Ganesha (Sanskrit: गणेश)
พระนามต่างๆของ พระศิวะมหาเทพ
ศิวลึงก์ लिङ्गं สัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะ
พระศาสดามหาศิวะเทพ (พระอิศวร) शिव Shiva
ศาสนาฮินดู