
พระพิฆเนศ(Ganesha:गणेश) เป็นมหาเทพผู้ทรงภูมิปัญญายิ่งใหญ่ ผู้ขจัดอุปสรรคและอำนวยความสำเร็จในทุกสิ่ง พระองค์ทรงเป็นเทพเจ้าแห่งสากล (Universal God) ที่มีผู้เคารพนับถือมากที่สุดองค์หนึ่งในทั่วโลก
ไม่ว่าใน อินเดีย เนปาล ภูฏาน ทิเบต มองโกล จีน ญี่ปุ่น เกาหลี พม่า ไทย เขมร อินโดนีเซีย ฯลฯ พระพิฆเนศ คือเทพเจ้าที่มีปรีชาญาณเฉลียวฉลาด มีฤทธานุภาพมาก และทรงคุณธรรม คอยปราบภัยพาลและอภิบาลคนดี อีกทั้งยังเป็นเทพผู้กตัญญูถึงพร้อมด้วยความดีงาม สมควรแก่การสักการบูชาเป็นอย่างยิ่ง หากใครจะประกอบพิธี หรือทำกิจกรรมใด การเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ เช่น เปิดกิจการร้านค้า เริ่มการทำงาน ขึ้นบ้านใหม่ ออกเดินทาง หรือแม้กระทั่งการบวงสรวงทำพิธีมงคลต่างๆ ฯลฯ ต้องบอกกล่าวบูชาองค์พระพิฆเนศก่อนเป็นลำดับแรก จึงจะเป็นสิริมงคล และประสบความสำเร็จ
ตำนานพระพิฆเณศวร์
เชื่อกันว่า ลัทธิการบูชาพระคเณศนั้น น่าจะมาจากชนพื้นเมืองดั้งเดิมของอินเดีย ซึ่งเป็นลัทธิการบูชาสัตว์ หรือลัทธิแห่งชัยชนะเหนือธรรมชาติ ชนพื้นเมืองของอินเดีย เชื่อกันว่าหนูเป็นสัญลักษณ์ของความมืด พระคเณศทรงขี่หนูจึงหมายถึงชัยชนะของแสงอาทิตย์ที่ขจัดความมืดให้สิ้นสุดลง พระคเณศอาจจะมีต้นกำเนิดมาจากการเป็นเทพประจำเผ่าของคนป่า ที่อาศัยอยู่ในป่าเขาอันกว้างใหญ่ของอินเดีย คนเหล่านี้ต้องเผชิญกับฝูงช้างอันน่ากลัวจึงเกิดการเคารพในรูปของช้าง เพื่อให้ปกป้องคุ้มครองและพัฒนาต่อมาเป็นเทพชั้นสูงของชาวอารยันต่อมาได้พัฒนาเป็นเทพผู้ขจัดซึ่งอุปสรรค มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ ทั้งยังได้รับการยกย่องให้เป็นหัวหน้าของเทพที่มีเศียรเป็นสัตว์ทั้งหลาย จนกระทั่งมีการรจนาปกรณ์ให้เป็นโอรสของพระศิวะเทพและพระนางปราวตีในเวลาต่อมาแต่ในแง่ของคัมภีร์ทางศาสนาพราหมณ์ได้บรรยายจุดกำเนิดของพระคเณศไว้หลากหลายตำนานตามความเชื่อในแต่ละลัทธิ พอจะสรุปเป็นหลักๆได้ดังนี้

ตำนานที่ 1. วิฆเนศวรปราบอสูรและรากษส
อสูรและรากษสได้ทำการบวงสรวงพระศิวะจนได้คำพรจากพระศิวะหลายประการ ยังให้เหล่าอสูรกลุ่มนี้ฮึกเหิมก่อความเดือดร้อนเป็นอันมาก พระอินทร์จึงทรงนำเทวดาทั้งหลายไปเข้าเฝ้าอ้อนวอนต่อพระศิวะ ขอให้พระองค์สร้างเทพแห่งความขัดข้องขึ้น เพื่อขัดขวางความพยายามของอสูรและรากษส พระองค์จึงทรงแบ่งส่วนกายหนึ่งให้เกิดบุรุษร่างงามจากครรภ์ของพระนางปราวตีและตั้งพระนามว่าวิฆเนศวร เพื่อทำหน้าที่ขวางทางอสูร รากษส และคนชั่วมิให้ทำการบัดพลีเพื่อขอพรจากพระศิวะ ทั้งยังเป็นผู้เปิดทางอำนวยความสะดวกต่อเทวดาและคนดีเพื่อเป็นหนทางสู่ความสำเร็จ
ตำนานที่ 2. ปราวตีนำเหงื่อไคลปั้นเป็นลูก
ครั้งหนึ่ง ชยาและวิชยา พระสหายของนางปราวตีได้แนะนำว่าปกติพระนางมักจะต้องใช้บริวารของพระศิวะอยู่เป็นประจำ ถ้าหากพระนางจะมีบริวารเป็นของตนเองก็คงจะดีไม่น้อย พระนางเห็นด้วย จนวันหนึ่งขณะที่ทรงสรงน้ำอยู่ตามลำพังก็ทรงนึกถึงคำพูดของพระสหายจึงได้นำเอาเหงื่อไคลออกมาสร้างบุรุษรูปงาม สั่งให้ไปยืนเฝ้าทวาร มิให้ใครเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นอย่างนี้มาหลายเพลา จนวันหนึ่งพระศิวะได้เสด็จมา ฝ่ายลูกก็ป้องกันแข็งขัน โดยไม่รู้ว่านั่นคือพ่อพระศิวะโกรธก็เลยสั่งให้ภูติและคณะของตนเข้าสังหารทวารบาลพระองค์นั้น บ้างก็ว่าพระศิวะพุ่งตรีศูลตัดเศียรลูก บ้างก็ว่าพระวิษณุเทพที่มาช่วยรบนั้นใช้จักรตัดเศียร ความทราบถึงพระนางปราวตีจึงเกิดศึกใหญ่ระหว่างเทพและเทพีขึ้นบนสวรรค์ฝ่ายฤาษีนารอดอดรนทนไม่ได้ จึงได้เป็นทูตสันติภาพขอเจรจากับนางปราวตีเพื่อสงบศึก นางบอกว่าจะสงบศึกก็ต่อเมื่อลูกของนางฟื้นเท่านั้น
พระศิวะจึงสั่งให้เทวดาเดินทางไปทิศเหนือ ให้เอาศีรษะของสิ่งมีชีวิตสิ่งแรกที่พบมาต่อกับโอรสของนางปราวตี ปรากฏว่าเทวดาได้เศียรของช้างซึ่งมีงาเพียงข้างเดียวมา เมื่อพระคเณศฟื้นขึ้นมา ทราบความจริงว่า พระศิวะคือพระบิดาก็ตรงเข้าไปขอโทษเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พระศิวะพอใจมากประสาทพรให้พระคเณศมีอำนาจเหนือภูติผีทั้งหลายและทรงแต่งตั้งให้เป็นคณปติ
ตำนานที่ 3. ขวางทางคนชั่วไปเทวาลัยโสมนาถและโสมีศวร
พระนางปราวตีทรงเอาน้ำมันที่ใช้ในการสรงน้ำมาผสมกับเหงื่อไคลปั้นเป็นรูปคนแต่มีเศียรเป็นช้างจากนั้นได้เอาน้ำจากพระคงคาปะพรมให้มีชีวิตขึ้น เพื่อทำการขัดขวางแก่คนชั่วที่จะไปบูชาศิวะลึงค์ที่เทวาลัยโสมนาถและเทวาลัยโสมีศวรเพราะคนเหล่านี้หวังจะไปล้างบาปเพื่อมิให้ตกนรกทั้งเจ็ดขุม ด้วยเหตุนี้ การที่วันคเณศจาตุรถี นิยมเอารูปปั้นพระคเณศมาจุ่มน้ำหรือนำเทวรูปปูนชิ้นเล็ก ๆมาทิ้งตามแม่น้ำคงคา ชะรอยจะมาจากความเชื่อที่ว่าน้ำจากแม่พระคงคาจะทำให้พระคเณศมีชีวิตขึ้นมานั่นเอง
ตำนานที่ 4. พระคเณศ กฤษณะอวตาร
พระนางปราวตีมเหสีของพระศิวะไม่มีโอรส พระศิวะจึงทรงแนะนำให้พระนางทำพิธีปันยากพรต (พิธีบูชาพระวิษณุเทพ ในวันขึ้น 13 ค่ำเดือนมาฆะ) มีระยะเวลากำหนด 1 ปีเต็มและเมื่อครบกำหนด พระนางจะได้โอรสซึ่งเป็นพระกฤษณะอวตารไปจุติ ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามคำตรัสของพระศิวะ ทวยเทพทั้งหลายมาร่วมอวยพรในกลุ่มเทพเหล่านี้มีพระศนิ (พระเสาร์) รวมอยู่ด้วย เมื่อพระศนิเหลือบมองพระกุมารทันใดนั้นเศียรกุมารก็ขาดจากพระศอกระเด็นไปยังโคโลกซึ่งเป็นวิมานของพระกฤษณะพระวิษณุจึงเสด็จไปยังแม่น้ำบุษปุภัทรเห็นช้างนอนหัวไปทางทิศเหนือจึงตัดเศียรช้างกลับมาต่อให้กับเศียรกุมารที่หายไป ตำนานนี้เข้าใจว่าเป็นเรื่องที่สร้างโดยกลุ่มที่นับถือพระกฤษณะเป็นใหญ่

ตำนานที่ 5. ศิวะ-อุมาแปลงกายเป็นช้างเข้าสมสู่
ครั้งหนึ่งพระศิวะและพระนางปราวตีได้เสด็จมายังแถบภูเขาหิมาลัยได้เห็นช้างสมสู่กันก็บังเกิดความใคร่ พระศิวะจึงได้แปลงเป็นช้างพลาย ส่วนนางปาราวตีแปลงกายเป็นช้างพังร่วมสโมสรจนมีลูกเป็นพระคเณศ
พระคเณศ นั้นเป็นโอรสของพระศิวะ กับ พระอุมา และ เป็นพี่น้องกับสกันทกุมาร (ขันธกุมาร) ซึ่งประวัตินั้นค่อนข้างแปลกๆ พอๆ กันของเทวบุตรทั้ง 2 องค์นี้ โดยพระคเณศจะมีคุณลักษณะแห่งความเป็นนักปราชญ์ ส่วนสกันทกุมารจะมีคุณลักษณะแห่งความห้าวหาญ ตรงไปตรงมาแบบทหาร
ประวัติการกำเนิดของพระคเณศนั้นก็มีความแตกต่างกันตามปุราณะ ซึ่งกล่าวแตกต่างตามแต่ละคัมภีร์ อาทิเช่น พระคเณศนั้นถือกำเนิดมาจากความปรารถนาของพระอุมา เมื่อครั้นพระศิวะเจ้าเสด็จไปทำสมาธิจิตที่เขาไกรลาสเป็นเวลานาน เนื่องด้วยพระลักษมี (บ้างว่าเป็นเทพนารีองค์อื่น) ได้เสด็จมาเข้าเฝ้าเยี่ยมเยียนพระอุมา และ ได้กล่าวกับพระอุมาว่าเมื่อคราวมหาเทพศิวะไม่อยู่กับพระองค์นั้น พระองค์ก็เปรียบดั่งสตรีที่ไม่มีบุรุษปกปักรักษาป้องกันในเวลาปฎิบัติกิจส่วนพระองค์
ฉะนั้นพระอุมาจึงควรสร้างเทวบุตรขึ้นมาเพื่อปกป้อง และ คอยเฝ้าคุ้มกันเมื่อพระอุมาปฏิบัติกิจ เมื่อพระอุมาเห็นด้วยกับความคิดของพระลักษมี จึงได้ใช้ฤทธิ์แห่งศักติ ลูบพระวรกายแบ่งภาคออกเป็นทารกที่อ้วนท้วมสมบูรณ์ เปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา และ เติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อครั้นเวลาผ่านไป พระศิวะออกจากสมาบัติก็เสด็จกลับมาหาพระอุมา เมื่อถึงหน้าทวารทางเข้าก็ได้พบกับเด็กคนหนึ่งมายืนขวางทาง ไม่ให้พระศิวะเข้าไปข้างในเนื่องจากไม่มีคำสั่งจากพระมารดา จึงทำให้พระศิวะทรงพิโรธมาก ตรัสสั่งให้นันทิ และ เหล่าเหล่าบริวารเข้าต่อกรกับพระคเณศ
แต่ทั้งนันทิและเหล่าบริวารทั้งหลายก็พ่ายแพ้พระคเณศอย่างง่ายดาย พระนารายณ์ พระพรหมา และ เหล่าเทวดาต่างก็เสด็จมาช่วยพระศิวะต่อกรกับพระคเณศ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้กลับไป จนพระนารายณ์ทูลให้พระศิวะทรงใช้ตรีศูลเพื่อสังหารพระคเณศเสีย พระศิวะจึงได้ฟังพระวิษณุตรัสดังนั้นก็ทรงปฏิบัติตาม โดยพุ่งตรีศูลไปตัดเศียรพระคเณศขาดกระเด็นมอดไหม้ไป เสียงแห่งการสังหารพระคเณศนั้นดังกึกก้องไปทั้งสรวงสรรค์ ทำให้พระอุมาตกใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงเสด็จออกมาดู เมื่อมาเห็นเทวบุตรคเณศอยู่ในสภาพไร้เศียร ก็พิโรธด้วยอำนาจแห่งศักติจนสั่นสะเทือนไปสามโลก ว่าทำไมเหล่าเทวาจึงต้องมารุมทำร้ายเด็กน้อย ไร้เดียงสา และ สังหารกุมารคเณศของพระองค์ด้วย ด้วยความโกรธแห่งพระศักติผู้เป็นบารมีอำนาจของจักรวาล
พระอุมาได้แบ่งภาคออกเป็นพันๆ ภาคเพื่อจะสังหารเหล่าเทวดาทั้งหลาย และ ทำลายจักรวาลให้สูญสิ้นไป โดยแบ่งภาคเป็นภาคต่างๆ เช่น สตี , ปรรพตี , กาลี , ทุรคา , โครี , จัณฑี , ชคันมาตา , จัฑิกา , ไภรพี , สยามา ฯลฯ ทำให้สั่นสะเทือนปานจักรวาลจะล่มสลาย พื้นโลก สวรรค์ บาดาล นรก เริ่มแตกร้าว เหล่าเทวดาพากันหวาดกลัวไปตามๆ กันเพราะอิทธิฤทธิ์แห่งมารดาจักรวาลนั้นมหาศาลนัก เมื่อพระองค์ทรงเป็นโยนีผู้ให้กำเนิดจักรวาลอันความพิโรธโกรธกริ้วของพระอุมาย่อมทำลายจักรวาลลงได้ภายในพริบตา เมื่อพระนารายณ์เห็นเช่นนั้นจึงทรง เข้าไปขอขมาพระอุมา โดยทูลว่าการกระทำในครั้งนี้เหล่ามหาเทพ และ เทวดาทั้งหลายนั้นไม่ทราบมาก่อนจริงๆ ว่าพระคเณศคือเทวบุตรอันถือกำเนิดจากทิพย์ศิวา ศักติของพระอุมา ที่ทำไปเช่นนั้นก็เพื่อช่วยในการรักษาเกียรติแห่งพระศิวะเจ้า
พระอุมาก็ยังหาความคลายพิโรธลงเท่าใดไม่ แต่ก็ตรัสกับมหาเทพทั้ง 3 และเหล่าเทวดาว่าให้คืนชีวิตและเศียรให้แก่เทวบุตรของพระองค์ในทันที พระเป็นเจ้าทั้งสามก็รับปากจะคืนให้ แต่ติดที่ว่าฤทธิ์แห่งตรีศูลพระศิวะทำให้เศียรของพระคเณศนั้นมลายหายไป แล้วนี่พระอุมายังยื่นคำขาดอีกว่าถ้าเทวบุตรไม่กลับคืนชีพ พร้อมมีเศียร พระอุมาก็เหมือนคนหมดทุกสิ้นทุกอย่างแล้วในจักรวาล เพราะความหวังและสิ่งที่รักยิ่งของมารดาทั้งหลายคือบุตร ฉะนั้นก่อนพระอาทิตย์อัสดงคตให้หาเศียรมาต่อให้พระคเณศให้จงได้ มิฉะนั้นพระอุมาจะทำลายจักรวาลทั้งปวงให้สิ้นไป
เหล่าเทวดาต่างจนปัญญาที่จะหาเศียรมาต่อให้พระคเณศ ด้วยจะฆ่าสิ่งมีชีวิตเพื่อเอาเศียรมาต่อให้พระคเณศก็ไม่เป็นการสมควรที่เหล่าเทวดาจะกระทำกัน พระนารายณ์จึงตรัสข้อเสนอว่าอันพระเวทเปรียบกล่าวไว้ ว่าสิ่งมีชีวิตใดเมื่อเวลานอนแล้วหันศีรษะไปทางทิศตะวันตกก็เปรียบดั่งเสียชีวิตแล้ว ฉะนั้นให้เหล่าเทวดา แยกย้ายกันไปหาสัตว์ที่นอนหันหัวไปทางทิศตะวันตก เมื่อเหล่าเทวาได้รับบัญชาแล้วก็รีบแยกย้ายกันออกค้นหาเหล่าเทวดาต่างก็รีบหากันตั้งแต่เช้าจน พระอาทิตย์จะตกดินแล้วก็ไม่พบอย่างที่พระนารายณ์ตรัสไว้ จนเกือบถึงเส้นยาแดงผ่าแปด ก็มาพบช้าเผือกเชือกหนึ่งนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกพอดี จึงตรงเข้าไปตัดหัวของช้างเผือกนั้นเพื่อนำมาต่อให้พระคเณศ
เมื่อพระศิวะทรงต่อเศียรให้พระคเณศ และ ชุบชีวิตให้แล้ว พระคเณศก็กลับมามีชีวิตดังเดิมทำให้พระอุมาหายพิโรธ โดยพระศิวะกล่าวว่าอันเศียรช้างที่หามาได้นี้หาใช่ช้างธรรมดาอันที่จริงคือ ปางหนึ่งของช้างเอราวัณที่ถูกสาปให้ไปเกิดเป็นช้างเผือกในโลกมนุษย์ เมื่อใดถูกตัดเศียรแล้วก็จะพ้นคำสาปและกลับคืนสู่อินทราโลก ฉะนั้นเศียรที่ได้มานี้จึงประเสริฐเปี่ยมไปด้วยกำลัง และ สติปัญญา และเมื่อเป็นการไถ่ความผิด เหล่าเทวดาก็ต่างให้พรพระคเณศต่างๆ นานา โดยพระศิวะให้พรว่าขอให้พระคเณศจงอยู่เหนืออุปสรรคทั้งปวง เป็นเทพเจ้าแห่งความสมดุล และ ความสำเร็จสมปรารถนาทั้งปวง พระนารายณ์ให้พรว่าขอให้เป็นเทพเจ้าแห่งปัญญา และ การรจนาคัมภีร์ความรู้ทั้งปวง
พระพรหมาก็ให้เช่นกันโดยให้ว่าอันผู้ใดจะประกอบการมงคลใดๆ ก็ตามแต่จะต้องท่องมนตร์ โอม อันเป็นเครื่องหมายอมตะแห่งพระคเณศ และ กล่าวบูชาอัญเชิญพระคเณศมาเป็นเทพองค์แรกในการประกอบมงคลทั้งหลายทั้งปวง โดยพระคเณศจะเป็นใหญ่เหนือคณะเทพเจ้าทั้งปวง นี่ก็คือประวัติพระคเณศ และยังมีข้อแตกต่างกันเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้างในหลายคัมภีร์ บ้างก็ว่าพระนารายณ์เป็นผู้ตัด ด้วยวาจาสิทธิ์ เมื่อครั้นพระศิวะมีเทวโองการเชิญพระนารายณ์มาโสกันต์ (โกนผมไฟ) พระคเณศ แต่เนื่องจากพระนารายณ์เพิ่งเหนื่อยกลับมาจากการปราบอสูร จึงทำให้เพลียแล้วทรงบรรทมเหนือไวกูณฑ์พอมีเทวโองการประโคมสังข์มาด้วยความงัวเงีย ก็บ่นพึมพรำออกมาว่า ' ลูกหัวหายเราจะหลับให้สบายเสียสักหน่อยก็ไม่ได้ ' ด้วยวาจาสิทธิ์เศียรพระคเณศก็หายไปในพริบตา บ้างก็ว่าเศียรขาดเนื่องจากพระศนิ ( พระเสาร์ ) เพราะพระเสาร์เคยถูกภรรยาสาปให้ห้ามมองใบหน้าใครได้เพราะพระศนินั้นช่วงหนึ่งเคยแต่เฝ้าภาวนา ถึงแต่พระนารายณ์ไม่เอาใจใส่ในนาง จึงสาปพระศนิว่าถ้ามองผู้ใดผู้ที่ถูกมองจะเกิดอัปมงคล หรือ หัวขาดหายไป
ครั้นพระศนิมาร่วมในงานโกนผมไฟ พระศนิได้แต่ก้มหน้าไม่กล้ายลโฉมพระคเณศ ทำให้พระศิวะทรงกริ้ว หาว่าพระศนิทรงดูหมิ่นโอรส พระศนิไม่ทราบว่าจะขัดพระบัญชา ได้อย่างไรจึงจำต้องมองไปที่หน้าพระคเณศ ด้วยฤทธิ์แห่งคำสาปเศียรพระคเณศก็ขาดหายไปในพริบตา ส่วนเรื่องการต่อเศียรพระคเณศนั้นก็คล้ายๆ กัน แต่มีแทรกเกี่ยวกับตอนของพระศนิว่า เมื่อมองเศียรพระคเณศแล้วเศียรขาด ด้วยความพิโรธพระศนิ พระอุมาเลยทราบพระศนิว่าให้เป็นบาปเคราะห์ เมื่อใดพระศนิเสด็จโคจรเข้าเรือนชนมจันทร์ใครเมื่อใด (ชนมจันทร์ คือ เรือนที่พระจันทร์ในดวงกำเนิดสถิตอยู่ ซึ่งมีคุณภาพเท่าลัคนา หรือ ถ้าพระจันทร์มีกำลังมากกว่าจะถือว่าเรือนที่พระจันทร์สถิตเป็นลัคนาเลยก็ได้) โทษทุกข์จะเกิดขึ้นกินเวลา 7ปีครึ่งมนุษย์จะรังเกียจภัยนี้ และจะให้พระศนิถูกประณามเป็นดาวเคราะห์แห่งทุกข์โทษ แต่เมื่อพระศนิหาเศียรมาต่อให้พระคเณศได้แล้ว
พระศนิขอให้พระอุมาประทานอภัยถอนคำสาปแช่งให้ตน แต่พระอุมาตรัสว่าคำสาปนั้นเป็นวาจาสิทธิ์จึงไม่สามารถถอนได้ แต่จะให้พรแก้แก่พระศนิว่า เมื่อมนุษย์ผู้ใดอดทน และ ใช้สติปัญญาฟันผ่าช่วงที่พระศนิเยือนเรือน 7 ปีครึ่งได้ผู้นั้นจะได้พรอันประเสริฐจากพระศนิ ให้เป็นผู้พัฒนาและเข้มแข็งขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้นเข้าใจสัจธรรมแห่งโลกมากขึ้นแล้วผู้มีปัญญาจะเข้าใจในวิถีแห่งพระศนิเอง เรื่องนี้ก็มีกล่าวในตำราโหราศาสตร์เช่นกันเมื่อ ดาวเสาร์เคลื่อนตัวเข้าสู่เรือนที่ 12 , 01 , 02 นับจากที่พระจันทร์กำเนิดสถิต ซึ่งเรียกว่า เสต-สาติ (ของโหราศาสตร์ภารตะ) ว่าให้โทษร้ายถึง 7 ปีครึ่งนี่เป็นบทหนึ่งที่ว่านิทานโบราณสอดแทรกวิชาโหราศาสตร์ไว้ด้วย
ความหมายของส่วนต่างๆของพระพิฆเณศวร์
พระคเณศ ทรงมีรูปร่างเดียว โดยทรงมีพระเศียรเป็นช้าง มีพระกรรณกว้างใหญ่ มีงวงยาว แต่ทรงมีร่างกายเป็นมนุษย์ มี 4 หรือ 6 หรือ 8 กรแล้วแต่พระภาคที่จะเสด็จมา รูปร่างของพระองค์แสดงถึงสิ่งเป็นมงคลดีเยี่ยม ซึ่งทรงสั่งสอนถึงความดีและความสำเร็จพระคเณศทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งความรู้และปัญญายิ่งใหญ่ แต่ละส่วนของท่านให้ความหมายในเชิงปรัชญาได้ดังนี้
พระเศียร - ทรงใช้เศียรอันใหญ่ที่เต็มด้วยปัญญาความรู้ เป็นที่รวมแห่งปัญญาทั้งหมด
พระกรรณ - ทรงใช้รับฟังคำสวดจากพระคัมภีร์และความรู้ในรูปอย่างอื่น ๆอันเป็นสิ่งแรกแห่งการศึกษา
งวง - เราได้นำเอาความรู้ต่าง ๆที่ได้รับจากการเลือกเฟ้นระหว่างทวิลักษณะ ความผิด-ถูก ความดี-ความชั่ว อันมีงวงช้างที่ยาวและใหญ่ใช้ชั่งน้ำหนักต่อการกระทำหรือการค้นหาสิ่งที่ดีงามต่างๆ อันปัญญานั้นเกิดขึ้นเพื่อช่วยในการแก้ปัญหาของชีวิตให้หลุดพ้นจากอุปสรรค และพบกับความสำเร็จสมดั่งความมุ่งหมาย
งา - งาข้างเดียวโดยอีกข้างหักนั้น เพื่อแสดงให้รู้ว่าจะต้องอยู่ในเหตุระหว่างความดี-ความชั่ว ซึ่งต้องทำความเข้าใจให้ดีถึงความแตกต่างกัน ดั่งเช่น ความเย็น-ความร้อน การเคารพ-การดูหมิ่นเหยียดหยาม ความซื่อสัตย์-ความคดโกง
หนู – แสดงถึงความปรารถนาของมนุษย์
บ่วงบาศ – ทรงถือโดยทรงลากจูงคนทั้งหลายให้เดินตามรอยพระบาทของพระองค์
ขวาน – เป็นอาวุธทรงใช้ปกป้องความชั่วร้ายและคอยขับไล่อุปสรรคทั้งหลายที่มาก่อกวนต่อบริวารของพระองค์
ขนมโมทกะ – ข้าวสุกผสมน้ำตาลปั้นเป็นลูก เพื่อประทานให้เราเป็นรางวัลต่อการที่เราปฏิบัติตามรอยพระบาทของพระองค์
ท่าประทานพร – หมายถึงความยิ่งใหญ่แห่งความผาสุกและความสำเร็จให้กับสาวกของพระองค์

วิธีการพิชิตศัตรูของพระพิฆเณศวร์
พระพิฆเณศวร์นั้นเป็นเทพที่มีลักษณะโดดเด่นกว่าเทพพระองค์อื่น นอกเหนือจากเรื่องมีพระเศียรเป็นช้างแล้ว นั่นคือ การนิยมการนำศัตรูเอามาเป็นพวก พระคเณศนั้นไม่นิยมที่จะล้างผลาญศัตรูให้ตายไปเหมือนเทพพระองค์อื่น แต่มักจะใช้ปัญญาที่มีอยู่เป็นทุนเดิมในการดำเนินการ เพื่อให้ศัตรูมีโอกาสกลับใจมาเป็นคนดี หรือเรียกง่าย ๆก็คือ เมื่อยอมสวามิภักดิ์แล้วก็จะให้เป็นเทพบริวารไล่เรียงกันไปบรรดาเหล่ารายชื่ออสูรที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อพระคเณศประกอบด้วย มัตสระ (ที่มาของคเณศปางวักระตุณฑะ) มะทะ เกิดจากฤาษีโจวะนะสร้างขึ้น (ที่มาของปางเอกทันตะ) ยานาริลูกของอสูรทุระพุทธ(ที่มาของปาง ปุระณานันมโหกระซึ่งอวตารมาเป็นลูกพระลักษมี)โลภาสูร กำเนิดจากความโลภของท้าวกุเบธ(ที่มาของปางคชนันท์)โกรธาสูร เกิดจากความลุ่มหลงของพระศิวะที่เห็นพระวิษณุแปลงรูปเป็นสาววัย 16 (ที่มาของปางลัมโพทระ)กามาสูร เกิดจากความลุ่มหลงของวิษณุเทพต่อชายาอีกพระองค์หนึ่ง ชื่อ พระแม่วฤนทา (ที่มาของปางวิกฎะ) มมตาสูร เกิดจากเสียงหัวเราะของพระนางอุมา (ที่มาของวิฆนราช) อหัมอสูร เกิดจากเสียงจามของสุริยเทพ (ที่มาของปางธูมรวรรณ)

ตำนานแห่งการเสียงาของพระพิฆเณศวร์
มีหลายตำนานมาก พอจะแบ่งได้ดังนี้
ตำนานแรก ปรศุรามใช้ขวานจาม ปรศุรามนั้นเป็นอวตารของวิษณุเทพ กล่าวว่า ปรศุรามได้ยืมขวานจากพระศิวะไปทำลายเหล่ากษัตริย์ เมื่อเสร็จภารกิจจะเข้าเฝ้าที่เขาไกรลาส ระหว่างนั้นบริเวณพระที่นั่งชั้นใน พระศิวะมหาเทพกำลังสนทนาอยู่กับนางปราวตี พระคเณศไม่ยอมให้ปรศุรามเข้าพบ ปรศุรามโมโหเลยใช้ขวานของพระศิวะขว้างไปยังพระคเณศ พระองค์จำใจต้องใช้ใช้งาข้างซ้ายรับขวานนั้น ด้วยเหตุที่ท่านทรงมีความกตัญญูเป็นอย่างยิ่งในบิดา ครั้นจะต่อสู้กันไปก็อาจทำได้ แต่จะมีประโยชน์อะไรกับการทำลายฤทธิ์เดชของอาวุธซึ่งเป็นของบิดาตนเอง
ตำนานสอง ได้เศียรช้างงาเดียว เมื่อคราวที่พระศิวะได้ทำพิธีโสกัต์และพระวิษณุเทพพลั้งเผลอเปล่งวาจา ยังผลให้เศียรของกุมารหายไปนั้น ได้มีเทวโองการให้หาเศียรของมนุษย์ที่เสียชีวิตมาต่อให้ แต่ปรากฏว่าในวันอังคารนั้นไม่มีมนุษย์ผู้ใดถึงฆาต มีเพียงช้างงาเดียวที่นอนตายอยู่ทางทิศเหนือ จึงตัดเศียรมาต่อให้
ตำนานสาม โดนพระศิวะใช้ขวานจาม เมื่อคราวที่กุมารน้อยถือกำเนิดใหม่ ๆและเฝ้าปากทวารห้องสรงน้ำของพระแม่ปราวตีนั้นพระศิวะไม่ทราบว่าเป็นลูก เลยเกิดการต่อสู้กันพระศิวะโมโหจึงใช้ขวานขว้างไปโดนงาของพระคเณศหัก
ตำนานสี่ งาถอดได้เองตามธรรมชาติ เมื่อคราวที่พระคเณศต่อสู้กับอสูรอสุรภัค พระคเณศแสดงเดชโดยการถอดงาของตัวเองขว้างไปที่อสูร

การอวตารและพระนามของพระพิฆเณศวร์
แต่ละองค์ที่อวตารก็มักมีลักษณะที่แตกต่างกันในด้านรูปลักษณ์ พระนาม พระกร อาวุธ และพลังอำนาจในแต่ละช่วงเวลา พอจะรวบรวมได้ดังนี้
1. บัล คณะบติ(ภาคเด็ก) สีโลหิต 4 กร
2. พระ ตรุน คณะปติ (ภาคเป็นหนุ่ม) สีแดงส้ม 8 กร
3. พระ ภักตะคณะปติ(แห่งความรัก) สีบริสุทธิ์ 4 กร
4. พระ วีระคณะปติ (แห่งนักรบกล้า) สีโลหิต 10 กร
5. พระ ศักติคณะปติ(แห่งพระพลังอำนาจ) สีแป้งจันทร์ 4 กร
6. พระ ทวิช คณะปติ (แห่งผู้เกิดสองหน) สีขาว 4 กร
7. พระ สิทธ คณะปติ(แห่งความสมบูรณ์) สีน้ำตาล 4 กร
8. พระ อุจฉิต คณะปติ(แห่งอาหาร บวงสรวง) สีฟ้า 4 กร
9. พระ วิฆณะ คณะปติ(ผู้ทรงขจัดความยุ่งเหยิง) สีทองคำ 10 กร
10. พระกษิประ คณะปติ(พระผู้รวดเร็วในการแบ่งภาค) สีแดงโลหิต 4 กร
11. พระเฮรัมพะ คณะปติ(พระผู้เป็นปฐมแห่งการกราบไหว้บูชา ทรงมี 5 พักตร์ มีสิงโตเป็นพาหนะ) สีขาวสว่าง 8 กร
12. พระ ลักษมี คณะปติ (แห่งทรัพย์สมบัติ) สีขาว 10 กร
13. พระ มหา คณะปติ (แห่งความยิ่งใหญ่) สีแดงโลหิต 10กรและ3 เนตร
14. พระ วิชัย คณะปติ(แห่งความชนะ) สีแดง 4 กร
15. พระ นฤตะ คณะปติ (แห่งการร่ายรำ) สีเหลือง 4 กร
16. พระ อุรทวะ คณะปติ(แห่งผู้ให้การช่วยเหลือ) สีทองคำ 6 กร
17. พระ เอกสร คณะปติ (แห่งอักษรพยางค์เดียว) สีโลหิต 4 กร
18. พระวรัท คณะปติ (แห่งผู้ประทานพรทั้งหมด) สีแดง 4 กร
19. พระ ตระยักศร คณะปติ (แห่งตัวอักษร) สีทองคำ 4 กร
20. พระ กศิปร ปรสัท คณะปติ (ผู้ทรงให้พรที่รวดเร็ว) สีแดงผงจันทร์ 6 กร
21. พระ ฮริทรา คณะปติ (แห่งสีสรรพ) สีเนื้อ 4 กร
22. พระ เอกทันตะ คณะปติ(แห่งผู้มีงาข้างเดียว) สีฟ้า 4 กร
23. พระ สริสติ คณะปติ (แห่งส่วนโค้งงอ) สีแดงส้ม 4 กร
24. พระ อุททานทะ คณะปติ (แห่งพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด) สีแดง 12 กร
25. พระ รีนา โมจัน คณะปติ(พระผู้ขจัดหนี้สิน) สีแดง 12-16 กร
26. พระ ทุนทิ คณะปติ(พระผู้มีรูปร่างเตี้ย) สีแดงส้ม 4 กร
27. พระ ทวีรมุข คณะปติ (พระผู้มี 2 พักตร์) สีเนื้อ 4 กร
28. พระ ตรีมุข คณะปติ (พระผู้มี 3 พักตร์) สีแดงส้ม 6 กร
29. พระ สิงห คณะปติ (พระผู้มีเศียรเป็นสิงห์) สีขาว 8 กร
30. พระ โยคะ คณะปติ(แห่งกรรมฐานสมาธิ) สีทองคำ 8 กร
31. พระทุรคา คณะปติ (แห่งอำนาจความคิด) สีทองคำ 8 กร
32. พระ สันกัสตหร คณะปติ (พระผู้ทำลายอุปสรรค) สีแดงส้ม 4 กร
แต่ลักษณะเด่นสำคัญของพระคเณศวร์ในทุก ๆภาคอวตารทรงมีรูปร่างเป็นมนุษย์ที่มีเศียรเป็นช้าง แต่มีเพียงภาคเดียวที่ทรงมีเศียรเป็นสิงห์ที่เรียกว่า ภาค สิงหะคณะปติ

ความหมายของหนูกับช้าง
หนูกับช้างเป็นสัญลักษณ์ของการพึ่งพาและปรองดอง ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงอำนาจและความมีชัยของฝ่ายที่อยู่เหนือกว่าในทางมนุษยวิทยาแล้วมีผู้วิเคราะห์ไว้ว่า หนูกับช้างเป็นสัญลักษณ์ของชนเผ่าสองกลุ่ม เผ่าที่มีชัยเหนือกว่าอาจจะเป็นชนกลุ่มที่นับถือช้างอยู่แต่เดิม จึงได้สร้างและยึดเอาประเพณีการนับถือช้างเป็นเทพเจ้ามาเป็นตัวแทนกลุ่มหรืออีกอย่างที่เป็นไปได้คือ คนสมัยดั้งเดิมนั้นประกอบอาชีพทางด้านกสิกรรม และแน่นอน หนูย่อมเป็นศัตรูอันร้ายกาจของไร่นา ภาพที่แสดงออกในรูปของช้างและงูที่เป็นสังวาลนั้น ได้แสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้ทำลายหนูอันเป็นศัตรูสำคัญของผลิตผลทางการเกษตรอย่างชัดเจน ทั้งการนำหนูมาเป็นบริวารนั้น
เนื่องจากหนูขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วเพราะหนูได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ที่มีความฉลาดและกัดทุกอย่างให้ขาดได้ ดังนั้นจึงเป็นความเหมาะสมสำหรับการเป็นพาหนะของเทพเจ้าแห่งปัญญา อันมีคุณสมบัติในการขจัดซึ่งอุปสรรค

ลักษณะทางประติมากรรมของพระพิฆเณศวร์
พระคเณศนั้นมีหลายปาง และมีให้เลือกสรรการบูชาตามความเหมาะสม แต่ภาพโดยสรุป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศียรก็ดี สัตว์พาหนะ ตลอดจนถึงเครื่องประดับและอิริยบทต่างก็ดี พอจะแยกได้ดังนี้
• เศียร พระคเณศมีตั้งแต่ 1 เศียรหรือพระพักตร์เดียว ไปจนถึง 2-5 เศียร ซึ่งปาง 5 เศียรนี้นิยมใช้ในปางเหรัมภะซึ่งแพร่หลายในอินเดียและเนปาล ส่วนพระคเณศในแบบของคนไทยนั้นจะมีเพียงเศียรเดียวเท่านั้นส่วนใหญ่แล้วพระคเณศจะมีเพียงสองตาเท่านั้น ส่วนตาที่ 3 บริเวณหน้าผาก (บ้างใช้เปลวไฟเป็นสัญลักษณ์แทน ) นิยมใช้ในลัทธิตันตระที่ชัดเจนมากเห็นจะเป็นพระพิฆเณศวร์ในศิลปะแบบธิเบต
นอกจากนี้บริเวณหน้าผากทั่วไป อาจจะเป็นรูปจันทร์เสี้ยว หรือเส้น 3 เส้นตามลักษณะของไศวะนิกาย หรือพระเศียรอาจจะสวมมงกุฎชนิดแบบราบ(กรัณฑมุกุฎ) หรือสวมชฎาทรงสูงก็ได้ ส่วนงานั้น จะมีเพียงงาเดียวข้างขวาเท่านั้นส่วนงาข้างซ้ายนิยมทำหักไว้

• งวง มีลักษณะที่ห้อยตรงแต่ส่ายปลายไปทางซ้ายหรือขวาแต่ที่นิยมคือหันงวงไปทางซ้าย และหยิบขนม บตะสะ (โมทกะ)จากถ้วยขนมที่ถืออยู่ในซ้ายมือหรือบางทีก็เป็นพวกผลไม้ป่า
• กร มีจำนวนกรตั้งแต่ 2-4 เรื่อยขึ้นไปถึง 10 กว่ากรหรือมากกว่านั้น สัญลักษณ์ที่ถือตามพระกรต่าง ๆเช่น งาหัก,ผลมะนาว, ผลไม้ป่า,มะขวิด,ลูกหว้า,หัวผักกาด,ขนมโมทกะ,ผลทับทิม,ส่วนอาวุธนั้นมีมากมายอาทิ ขวาน,บ่วงบาศ,ดาบ,ตรีศูล ฯลฯ สิ่งอันเป็นมงคล เช่น สังข์,แก้วจินดามณี,ครอบน้ำ ฯลฯ
ท่าทาง
พระคเณศในยุคแรกนั้นจะเป็นพระคเณศในรูปแบบของการยืนเสียเป็นส่วนใหญ่ จากนั้นจึงได้พัฒนาเป็นการนั่ง ซึ่งมีการนั่งถึง 4 ลักษณะด้วยกันคือ
1. ท่ามหาราชลีลา หรือเข่าข้างหนึ่งยกขึ้น อีกข้างหนึ่งงอพับบนอาสนะ (ซึ่งมีมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12)
2. นั่งขาไขว้กัน
3. นั่งห้อยพระบาทข้างใดข้างหนึ่งส่วนอีกข้างวางพับอยู่บนอาสนะ
4. นั่งโดยขาทั้งสองพับอยู่ทางด้านหน้า ฝ่าเท้าทั้งสองอยู่ชิดกัน (ศิลปชวา,บาหลี)

เครื่องประดับ
ในยุคแรกไม่นิยมการทรงเครื่องประดับต่อมาจึงเริ่มมีเครื่องทรงมากขึ้น เริ่มจากสายยัชโญปวีต (สายศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาพราหมณ์ บางทีก็เป็นงูธรรมดา ส่วนผ้าที่นุ่งนั้น จะแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่นที่สร้างรูปเคารพส่วนเครื่องทรงนั้นมีการเพิ่มเติมมากขึ้นเช่น มงกุฏ ,สร้อยคอ,สร้อยข้อมือ,สร้อยข้อเท้า,สร้อยกระดิ่ง
พาหนะ เท่าที่พบในปัจจุบันมีเพียง หนู นกยูงและสิงโตเท่านั้น

การอภิเษกสมรสของพระพิฆเณศวร์
อันที่จริงเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่เสริมแต่งให้ความเป็นพระพิฆเณศวรมีความสมบูรณ์ขึ้นเท่านั้นเอง เพราะพระชายาทั้งสองพระองค์ซึ่งเป็นธิดาของประชาบดีอิศวรรูปนั้นแทบจะไม่บทบาทอะไรเลยนอกจากคอยอยู่ปรนนิบัติพัดวี นวดแขน เกาขาไปตามเรื่อง ระชายาทั้งสองมีโอรสกับพระคเณศด้วย นางพุทธิให้กำเนิดลาภะ ส่วนนางสิทธิให้กำเนิด เกษม ซึ่งคุณสมบัติทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น พุทธิ สิทธิ ลาภะ เกษม แต่ ตำนานที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคือ พระคเณศเป็นเทพที่ถือพรหมจรรย์
เรื่องการอภิเษกนั้น เรื่องราวดำเนินละม้ายคล้ายกับการชิงผลมะม่วง เพราะเมื่อถึงวัยที่โอรสทั้งสองพระองค์ของศิวะเทพและนางปราวตีเจริญเติบโตพอที่จะมีเหย้ามีเรือน แต่มีเงื่อนว่า พระศิวะจะจัดพิธีวาหะให้ต่อเมื่อลูกคนใดคนหนึ่งสามารถผ่านการเดินรอบโลกได้เจ็ดรอบด้วยเวลาอันรวดเร็วพระคเณศก็ทรงใช้การประทักษิณรอบพระศิวะเจ็ดรอบ แล้วให้คำอธิบายเหมือนกับเหตุการณ์ในตอนที่แย่งชิงผลมะม่วงกับพระขันธกุมาร
พระศิวะพอใจในคำอธิบายของพระคเณศมาก และตรัสสรรเสริญในภูมิปัญญาของโอรสในพระองค์ว่า 'โอ…ลูกรักเจ้าเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมยอดและมีปัญญาเป็นที่สุดสิ่งที่เจ้าได้กล่าวมาเป็นจริงทั้งสิ้น ถ้าบุคคลหนึ่งได้มีปัญญาเป็นคุณสมบัติติดตัว แม้เมื่อโชคร้ายมาถึงเขาความอับโชคนั้นย่อยถูกกำจัดด้วยปัญญา' ว่าแล้วในคราวนั้น พระคเณศจึงได้พระชายาคราวเดียวกันถึง 2 คนคือ นางพุทธิและสิทธิอย่างที่กล่าวไว้ในข้างต้น

ฤทธิ์แห่งปัญญาของพระพิฆเณศ
มีตำนานที่กล่าวถึงความมีสติปัญญาและไหวพริบของพระคเณศไว้หลายตอน อย่างเช่นกรณี ที่ท่านเป็นผู้ลิขิตมหากาพย์ภารตะ
ครั้งหนึ่ง มหาฤาษีวยาสะมีความต้องการที่จะเขียนมหากาพย์ภารตะ แต่เกรงว่าตนจะทำเองไม่สำเร็จ จึงไหว้วานให้ผู้อื่นช่วย แค่ไม่มีใครกล้าอาสาที่จะรับผลงานชิ้นนี้ ฤาษีนารอดเห็นว่าพระคเณศองค์เดียวเท่านั้นที่จะเขียนมหากาพย์ชิ้นนี้ได้ ในที่สุดฤาษีวยาสะจึงต้องทูลขอความช่วยเหลือจากพระคเณศ พระคเณศบอกว่า จะเขียนตามที่ฤาษีบอก แต่ทันทีที่ฤาษีหยุดบอกจะหยุดเขียนทันที ฝ่ายฤาษีบอกว่า สิ่งที่พูดออกไปจากปากของเราต้องตีความให้ถ่องแท้ก่อนที่จะลงมือเขียน ฉะนั้นเมื่อฤาษีต้องใช้การคิดสำหรับโศลกต่อไปก็จะบอกศัพท์ยาก ๆเพื่อให้พระคเณศตีความเสียก่อนเพื่อเป็นการประวิงเวลา พระคเณศจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดอัจฉริยะในฐานะที่เป็นผู้ลิขิต มหาภารตะ ซึ่งถือว่าเป็นคัมภีร์มหากาพย์สุดยอดของฮินดู
อย่างไรก็ตาม เรื่องมหากาพย์ภารตยุทธ์นี้ แน่นอน คงไม่มีใครเชื่อว่ามาจากฝีมือพระคเณศแน่ แต่นั่นเป็นภูมิปัญญาของปราชญ์โบราณที่ต้องการจะบอกกับคนในยุคสมัยต่อไปว่า การบูชาครูเพื่อขอดวงปัญญาในการทำงานให้ลุล่วงนั้น เป็นสิ่งสำคัญในลำดับแรก โดยเฉพาะการรจนางานในเชิงพระคัมภีร์ เหมือนเช่นพระมหาธีรราชเจ้า มักจะประพันธ์อักขระเพื่อถวายบูชาต่อพระคเณศก่อนที่จะเริ่มงานประพันธ์ทุกครั้งมีอยู่หลายกรณี หลายเหตุการณ์ที่ท่านทรงแสดงความเป็นเทพแห่งปัญญาที่แท้จริง แต่กรณีที่เด่นๆก็อย่างเช่น กรณีเดินทางรอบโลกเพื่อผลมะม่วง
ในคราวหนึ่ง พระนางอุมาได้นำเอาผลมะม่วงมาถวายกับพระศิวะผลหนึ่ง ปรากฏว่าลูกทั้งสองคนคือ พิฆเนศวรและขันธกุมาร ต่างก็อยากจะเสวยมะม่วงผลนี้ด้วยกันทั้งคู่ ด้วยเหตุนี้พระศิวะจึงอยากรู้ว่า ลูกทั้งสองคนนี้ใครจะเก่งกว่ากัน โดยตั้งโจทย์ว่า ใครก็ตามหากเดินทางรอบโลกถึงเจ็ดรอบและกลับสู่วิมานปาวตา(วิมานของพระศิวะและพระนางอุมา) ก่อนผู้นั้นจะได้ผลมะม่วงลูกนี้ ว่าแล้วฝ่ายขันธกุมารก็ไม่รอช้า รีบขี่นกยูงตระเวนท่องโลกทันที ฝ่ายพิฆเนศแทนที่จะเอาอย่าง กลับเดินประทักษิณรอบบิดาเจ็ดรอบ และกล่าวว่า' ข้าแต่พระบิดา พระองค์คือจักรวาล และจักรวาลคือพระองค์ พระองค์ผู้สร้างโลก และทรงเป็นบิดาแห่งข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทำประทักษิณพระบิดาเจ็ดรอบ ถือว่าได้กุศลเท่ากับเดินทางรอบโลกเจ็ดรอบ 'มหาเทวะศิวะเทพยินดีในคำตอบและชื่นชมในสติปัญญาจึงมอบผลมะม่วงให้กับพระพิฆเนศวรทันที

วิธีการบูชาพระพิฆเนศ
การบูชาพระพิฆเนศ หากไม่สะดวกที่จะจัดเตรียมอย่างยิ่งใหญ่ ก็สามารถเตรียมแต่พอประมาณ เพื่อการสวดบูชาได้ทุกๆวัน ซึ่งหลักๆ แล้วมีสิ่งที่ต้องเตรียม เพื่อการบูชาพระพิฆเนศ ดังต่อไปนี้
อุปกรณ์
1. รูปภาพ หรือ เทวรูปพระพิฆเนศ ที่เราบูชาอยู่
2. ธูป หรือ กำยาน (อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่าง)
ถ้าใช้กำยานแท่ง ให้ใช้ 1 อัน ใช้ได้ทุกกลิ่น
ถ้าใช้กำยานผง ให้ตักใส่โถตามความเหมาะสม
ถ้าใช้ธูป จะใช้กี่ดอกก็ได้...ขอย้ำว่ากี่ดอกก็ได้นะ
เพราะที่อินเดียจริงๆ แล้วไม่มีการกำหนดจำนวนธูปมาตั้งแต่โบราณ เนื่องจากเหตุผลที่จุดธูปก็คือ ต้องการถวายกลิ่นหอมแก่เทพ และ ให้ควันธูปเป็นสื่อนำคำอธิษฐานเราไปสู่เทพ เพราะฉะนั้น ถ้าอยากประหยัดก็ใช้ 1 ดอกก็ดีครับ ลดโลกร้อนด้วย มีคนไทยเท่านั้นที่ถือว่าธูป 1 ดอกคือการไหว้ศพ ชาวฮินดูเค้าหยิบออกมาจากซองได้มากี่ดอกก็จุดเลย ไม่มีการนับ หรือถ้าจะให้สบายใจ ไหว้แบบคนไทยหรือจีน ก็ใช้ 3 ดอก 5 ดอก 9 ดอก
3. กระถางธูป หรือ แท่นวางกำยาน
ใส่ดิน หรือ ผงธูป ลงในกระถางธูปก่อนเพื่อให้สามารถปักธูปได้
สำหรับแท่นวางกำยานก็มีขายหลายแบบ ส่วนใหญ่ทำจากกระเบื้องเซรามิก ดินเผา ทองเหลือง ฯลฯ หรือจะซื้อถ้วยเล็กๆ ตื้นๆ แบบที่ใส่พริกน้ำปลา มาใช้แทนก็ได้
4. ประทีป (ดวงไฟ เทียน ตะเกียงน้ำมัน การบูร)
ใช้เป็นไฟส่องสว่าง ควรมี 2 ดวงซ้าย-ขวา หรือเทียน 2 เล่ม
ถ้าใช้เทียน ก็ปักลงแท่นให้เรียบร้อย
ถ้าใช้ตะเกียงน้ำมัน ตรวจสอบน้ำมันให้มีเพียงพอ
เครื่องสังเวย
1. ดอกไม้
ถวายได้ทุกพันธุ์ ควรเป็นดอกไม้สด จะร้อยเป็นพวง เป็นช่อ หรือดอกเดียวก็ได้ ให้ล้างทำความสะอาดก่อนถวาย
ดอกไม้ที่ดีที่สุดคือ ดอกบัว เพราะในบทสวดของเทพทุกพระองค์ มีหลายๆโศลก หลายๆบท ที่กล่าวว่า
'ขอน้อมบูชาเทพผู้มีพระบาทงดงามดั่งดอกบัว' คือ ยกย่องสรรเสริญว่าทวยเทพทั้งหลายนั้นมีเท้าที่สวยงามเปรียบเสมือนดอกบัวที่งดงาม
ส่วนดอกไม้อื่นๆ ได้หมดครับ ไม่ว่าจะเป็นดาวเรือง มะลิ กุหลาบทุกสี ขอให้สด สะอาด มีกลิ่นหอมโชยก็ได้แล้วครับ
2. น้ำสะอาด
อันนี้ต้องมี ขาดไม่ได้เด็ดขาดนะครับ ห้ามใช้น้ำจากขวดที่เราเคยเปิดกินมาแล้ว แนะนำให้จัดขวดน้ำแยกไว้เพื่อรินถวายเทพโดยเฉพาะ โดยเทใส่แก้วเล็กๆ ซึ่งแก้วน้ำนี้ก็ต้องเป็นแก้วที่จะใช้ถวายเทพโดยเฉพาะเช่นเดียวกัน
3. นมสด
(หากจัดหาไม่ได้ จะถวายน้ำเปล่าอย่างเดียวก็ได้) นมที่ใช้ถวาย ควรเป็นนมสด (จืด) ที่ไม่ใช่รสดัดแปลง เช่น รสช็อคโกแล็ต รสสตรอเบอรี่ หรือนมเปรี้ยวดัดแปลงต่างๆก็ไม่ควรครับ แต่เราสามารถถวาย โยเกิร์ต ได้ โดยให้เลือกรสธรรมชาติ เนื่องจากโยเกิร์ต คือวิธีการทำนมเปรี้ยวในแบบของโบราณนั่นเอง หากนมเป็นกล่อง สามารถเสียบหลอดไว้ได้ หรือถ้าจะให้ดีก็เทใส่แก้วเลยครับ
4. ผลไม้
ผลไม้อะไรก็ใช้ถวายได้ ไม่ต้องแพงมากครับ ใช้ผลไม้ตามฤดูกาล สับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ก็ดี ผลไม้ที่แนะนำคือ กล้วย อ้อย สาลี่ ชมพู่ มะขวิด ผลหว้า และ มะพร้าวผ่าซีก ใส่ในถาดหรือจานสะอาด (ซื้อมาเป็นกิโลๆ แช่เย็นไว้แล้วแบ่งออกมาถวาย ก็เหมาะสมในเศรษฐกิจยุคนี้ครับ)
5. ขนมหวาน
ห้ามใช้ขนมที่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ (ประมาณว่าแซนวิชหมูหยองนี่ห้ามนะครับ) ควรเป็นขนมที่ทำจากแป้ง มีความหวาน มัน เน้นน้ำตาลและกะทิ จัดใส่ถาดหรือจานสะอาด ปัจจุบันอนุโลมให้มีส่วนผสมของไข่ได้ มิฉะนั้นจะหาขนมมาถวายยากมากๆ
***ห้ามถวายของคาว เช่น ข้าวผัดกระเพรา ก๋วยเตี๋ยว หัวหมู เป็ด ไก่ตอน ฯลฯ เพราะไม่เหมือนกับการเซ่นไหว้เจ้าแบบจีนนะครับ
***จาน ถาด แก้วน้ำ ให้จัดไว้สำหรับบูชาเทพเท่านั้น ใช้เสร็จแล้วล้างให้สะอาด เก็บแยกไว้ ห้ามใช้ปะปนกับของคน
***เครื่องสังเวยอื่นๆที่สามารถถวายได้ ได้แก่ พืชพรรณ ธัญญาหารต่างๆ ข้าวสาร ข้าวกล้อง เกลือ น้ำตาล เมล็ดพริกไทย เมล็ดถั่ว งาขาว งาดำ ใบชา เมล็ดกาแฟสด มะเขือ มะขวิด ใบกระเพรา ใบโหระพา เครื่องเทศต่างๆ ผักสดทุกชนิด และผลไม้ทุกชนิด

ขั้นตอนการบูชา
เพื่อการสวดบูชาให้ได้ผลสูงสุด ควรเลือกเวลาที่เงียบสงัด เช่น เช้าตรู่ หรือ ก่อนนอน จะได้ไม่มีเสียงรบกวนจากผู้อื่น
1. นำของสังเวยทั้งหมด (น้ำ นม ผลไม้ ขนมหวาน) จัดวางไว้หน้าเทวรูป, รูปบูชา
2. ดอกไม้ ถ้าเป็นช่อหรือดอกเดียวให้วางไว้ข้างหน้า ถ้าร้อยเป็นพวง สามารถนำไปคล้องที่พระกรหรือศาสตราวุธของเทวรูปได้
3. จุดกำยาน ธูป ประทีป เทียน
4. การพนมมือ ให้พนมมือแบนราบติดกันนะครับ ไม่ใช่แบบดอกบัวตูม แล้วตั้งจิตให้สงบนิ่ง
5. เมื่อจิตสงบนิ่งแล้ว ให้ เริ่มสวดบูชา...
การสวดมนต์นั้น ท่านสามารถเลือกบทสวด บทอัญเชิญ หรือบทสรรเสริญ บทใดก็ได้มาหนึ่งบท หรือจะสวดหลายๆ บท ให้ต่อเนื่องกัน

บทสวดพระพิคเนตร
** หมายเหตุบทสวดเป็นคำที่ทำให้สมาธิแน่วแน่เท่านั้น อย่าได้ยึดติด หากเราเคารพในคุณงามความดีของท่าน ท่านจะต้องมีความดีถึงได้ไปเป็นเทพได้ เราระลึกถึงความดีนั้นๆ แล้วตั้งจิตเป็นกุศล เราชาวพุทธเป็นผู้มีความนอบน้อม เพราะฉนั้นจึงยึดถือเคารพความดีงามของท่าน
ชาวพุทธสามารถตั้งนะโม 3 จบแล้วค่อยสวดมนต์บูชาเทพทางพราหมณ์ได้
แต่ผู้นับถือศาสนาพราหมณ์จะเริ่มสวดบูชาพระพิฆเนศเป็นอันดับแรก
แล้วต่อด้วยการสวดบูชาเทพองค์อื่นๆที่นับถือเพิ่มเติม
คาถา บทสวดบูชาพระพิฆเนศที่มีผู้นิยมใช้มากที่สุด อันได้แก่
- โอม ศรี คเณศายะ นะมะหะ (เป็นบทสวดหลัก)
- โอม คัง คะณะปัตตะเย นะมะหะ
(บทสวดของอินเดียเหนือ)
- โอม เหรัมภายะ นะมะหะ
(หมายถึง ขอบูชามหาเทพผู้ยิ่งใหญ่)
- โอม เอกะทันตายะ นะมะหะ
(หมายถึง ขอบูชาเทพผู้มีงาข้างเดียว)
- โอม ชยะคเณศะ / ชยะคเณศะ / ชยะคเณศะ เทวา
ออกเสียงตาม ไจยกาเนช มนตรา ได้ว่า - โอม ไจย กาเนชา ไจย กาเนชา ไจย กาเนชา เดวา
(หมายถึง ขอชัยชนะจงมีแด่องค์พระพิฆเนศ)
- โอม ศรี มหา คณาธิ ปัตเย นะมะหะ
- โอม พระพิฆเณศวร สิทธิประสิทธิเม มหาลาโภ
ทุติยัมปิ พระพิฆเณศวร สิทธิประสิทธิเม มหาลาโภ
ตะติยัมปิ พระพิฆเณศวร สิทธิประสิทธิเม มหาลาโภ (บทสวดของไทย)
- โอม นะโม พระคเณศายะ / นะโมนะมะ คันธะมาละ
สิทธาหะนัง กะพะมะนะ / สัมมาอะระหัง วันทามิ (บทสวดของศิลปากร)
- โองการพินทุ นาถัง อุปปันนัง
พรหมมะโน จะอินโท พิฆเณศวรโต มหาเทโว
อะหัง วันทามิ สัพพะทา / สิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง สิทธิการิยัง ประสิทธิเมฯ
(บทสวดของไทยและที่ปรากฎ ณ ศาลพระพิฆเนศ เซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์)
- มหาเทวะ มหาสลัม มหาวะศะการัม
พระพิฆเณวา สะวะลัม พรหมมานัง
วิญญานัง โอม ทูปัง ทีปัง / มะนะสะการัม บุปผัง ญะลา ผลังนิล
(บทสวดของพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ)
- โอมปารวตี ปัตตเย ฮารา ฮารา ฮารา มหาเทวา
คาชานะนัม ภูตะคะณาธิเสวิตัม / กะปิตะชัมพู ผะละจารุภักษะณัม
อุมาสุตัม โศกะวินาศะ การะกัม / นะมามิ วิฆะเนศวะระ ปาทะปังกะชัม
ภาพจาก internet หลายๆเวป
อ้างอิงจาก Siamganesh,baanyomyut
เรียบเรียงโดย ลูกสาวพ่อ มหาเทพประทานพร