พระฤษีประทิศไพ (ไม่มีภาพ)
พระฤษีองค์นี้ก็มีความศักดิ์สิทธิ์และมีฤทธิไกรมากมายทั้งไสยศาสตร์และ
บารมีมากด้วยคาถาอาคมและมนต์วิเศษ ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ มีตำแหน่งเป็น
อาจารย์ของหนุมาน ทหารเอกของพระราม ที่มีความเคารพและนับถืออย่าง
จริงจัง ท่านบำเพ็ญตบะอยู่ในป่าแห่งภูเขาเหมติวัน
เมื่อหนุมานสู้รบกับยักษ์บรรลัยกัลป์ซึ่งมีฤทธิ์มาก ใครจะจับตัวไม่ได้ทั้งนั้นเพราะบรรลัยกัลป์ทำพิธีชุบตัวด้วยน้ำมันว่าน จึงทำให้ตัวลื่นจับก็ไม่อยู่ หนุมานจึงเหาะไปถามพระฤษีประทิศไพ พระฤษีท่า่นก็กลัวบาปไม่ยอมบอก แต่ท่านก็หยิบทรายฝุ่นมาโรยเล่นให้เห็นเป็นปริศนา หนุมานไวปัญญา จึงตีปัญหาแตกแล้วก็เหาะกลับไปสู้กับยักษ์ แล้วในที่สุดก็ฆ่ายักษ์ตายสมความต้องการ
พระฤษีโพธิสัตว์ (ไม่มีภาพ)
เป็นพระฤษีที่ศักดิ์สิทธิ์ในชั้นเทพอีกองค์หนึ่ง ท่านเป็นเทพที่มุ่งมั่นในทาง
บำเพ็ญ ทั้งทางศีลทางธรรม และทางบารมีทานรวมพร้อมอยู่ในท่าน มีพร้อมหมดทุกอย่าง จนกระทั่งได้บรรลุธรรมชั้นสูง จึงได้เลื่อนขั้นและฐานะขึ้นมาเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อคอยเวลาและโอกาส ที่จะอุบัติขึ้นในโลกมนุษย์ แล้วตรัสรู้ธรรมนำเอามาสั่งสอนปวงชน เป็นผู้นำของศาสนาที่เรียกว่าศาสดา
หรือพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆไปในอนาคตกาลข้างหน้า ที่จะต้องมีขึ้นมาใหม่
อีก ตามวาระเวลาและคิวที่รอคอย เรียงกันตามลำดับสำหรับปวงชนหากมีสิ่งใดขัดข้อง ก็บนบอกกล่าวกับท่านได้ บูชาด้วย ดอกไม้ ธูป เทียน เป็นเนืองนิตย์ ท่านก็จะต้องประสิทธิ์ประสาทพระพรให้ได้สำเร็จผล หากท่านต้องการจะไปปิดทองหรือถวายพวงมาลัย ไปที่องค์จำลองของท่านก็ได้ หรือจะแก้สินบนอย่างไรก็เห็นว่าสะดวกและสมควรยิ่ง จงเดินทางไปที่วัดเกตุมดีศรีวราราม (เส้นทางจะไปแม่กลองจะต้องผ่าน) แล้วจะได้พบกับพระฤษีโพธิสัตว์นี้ เป็นรูปปั้นสถิตย์อยู่ภายในกำแพงแก้ว ในซุ้มประตูด้านทิศตะวันออก ของพระธาตุเกตุมดีที่วัดแห่งนี้ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกหลายอย่างอยู่ภายในวัด เช่น พระธาตุเกตุมดีพระพุทธสิหิงค์ มหาราชทั้ง ๔ พระองค์ พระสิวลีมหาเถระ ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ธรรมบัณฑิต พ่อหมอโกมารภัติ และพระฤษีพนาวัน
พระฤษีบรมโกฏิ (ไม่มีภาพ)
พระฤษีองค์นี้ท่านก็ชอบสันโดษ อยู่ในอาศรมกลางป่าอีกเช่นเดียวกันท่านก็มีทั้งเมตตาบารมีและอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์มากมาย ชอบช่วยเหลือและส่งเสริมมวลมนุษย์ที่กระทำแต่ความดี หากทำชั่วท่านก็จะสาปแช่งตามต่ำแหน่งหน้าที่ของท่าน ที่ได้รับคำสั่งจากพระอิศวร ให้ดูแลมวลมนุษย์ถ้าหากว่าผู้ใดได้รับความเดือดร้อนเพราะถูกกลั่นแกล้งรังแกท่านก็จะสาปแช่งผู้ที่ชอบกลั่นแกล้งรังแก หรือทำตัวเป็นอันธพาลให้ได้รับกรรม มีแต่ความวิบัติมาบังเกิด หากผู้ใดทำดีท่านก็จะดลบัลดาลให้ได้รับผลดี ในทำนอง'ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว' สิ่งนี้เป็นที่แน่นอนที่สุดท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์จะต้องพิจารณาอย่างถ่องแท้แน่นอนแล้วเสมอ
ดังนั้นหากผู้ใดมั่นใจว่าตัวเองได้ทำความดี และยึดมั่นอยู่ในความดีแล้ว มีศีลธรรมประจำใจแล้วก็จงขอพรจากพระฤษีบรมโกฏิเถิด แล้วท่านจะต้องสำเร็จสมประสงค์ ถ้าหากมีผลสำเร็จตามความประสงค์ที่ได้บนบานกับพระฤษีบรมโกฏิเอาไว้ หากจะทำพิธีแก้บนด้วยดอกไม้ ธูป เทียน และทองคำเปลวก็ได้ ให้นำเอาสิ่งของที่ตั้งใจว่าจะถวายกับท่านไปพบกับท่านได้เสมอ ที่ในวัด พระเชตุพนวิมลมังคลาราม(วัดโพธิ์ท่าเตียน) จะมีรูบปั้นพระฤษีบรมโกฏิให้พวกเราได้กราบไหว้บูชา.....
พระศุกร์



พระฤษีชลหุ
พระฤษีองค์นี้ก็มีฤทธิ์มากมีทั้งอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์ แฝงไว้ด้วยอำนาจลึกลับมากมายมีประวัติดังนี้....
เมื่อครั้งที่ท้าวสัคร ได้ทำพิธีอัศวเมท คือปล่อยม้าอุปการแล้ว พระอินทร์ก็แปลงกายลงมาขโมยม้าตัวสำคัญนั้นไปซ่อนไว้ ท้าวสัครจึงใช้พระกุมารทั้งหกหมื่น ซึ่งเป็นโอรสของพระองค์ทั้งหมดไปเที่ยวค้นหาม้า พระกุมารทำการขุดพื้นลงไปถึงหกหมื่นโยชน์แล้วก็ยังมิได้พบม้า จึงพยายามขุดลึกลงไปอีก พระนารายณ์ก็ทรงเกรงว่าโลกจะทะลุพินาศสิ้น จึงอวตารลงมาเป็นพระกบิล ลงไปบำเพ็ญตบะอยู่ใต้พิภพ เมื่อพระกุมารหกหมื่นขุดลงไปพบพระกบิลก็โกรธคิดว่าพระกบิลขโมยเอาม้ามา จึงตรงเข้าไปหมายจะทำร้าย
ในที่สุดพระกบิลก็ทำเป็นไฟกรดไหม้พระกุมารทั้งหกหมื่นตายกันหมด ท้าวสัครจึงคิดที่จะเชิญพระแม่คงคาลงมาจากสวรรค์เพราะน้ำพระแม่คงคานี้ถ้าหากว่่าไหลไปชำระอัฐิของพระกุมารทั้งหกหมื่นแล้ว ก็จะหมดบาปได้ไปสวรรค์กันทั้งหมด ท้าวสัครจึงมอบราชสมบัติให้กับพระนัดดาเป็นผู้ครอบครอง ส่วนพระองค์ก็ออกไปบำเพ็ญตบะเพื่อจะทำพิธีอัญเชิญพระคงคาให้ลงมาจากสวรรค์ ตอนนี้จึงมีพระฤษีเพิ่มขึ้นอีก คือ พระฤษีสัคร
สำหรับพิธีอัญเชิญน้ำพระคงคาลงมาจากสวรรค์ ก็ยังมิได้สำเร็จสมความตั้งใจ แต่ก็ยังดำเนินต่อเนื่องกันไปเมื่อท้าวสัครสิ้นพระชนม์แล้ว ท้าวอังศุมานก็บำเพ็ญพรตเป็น พระฤษีอังศุมาน และต่อมาจนกระทั่งบังเกิดเป็น พระฤษีทิลีป ต่อมาก็ถึง พระฤษี ภคีรถ สืบต่อเนื่องลำดับวงค์สกุลกันลงมาผล
สุดท้ายก็มาสำเร็จในสมัยของท้าวภคีรสนั่นเอง พระคงคาเสด็จลงมาจากสวรรค์โดยพระอิศวรเอามวยผมรับพระคงคาเอาไว้เพื่อป้องกันมิให้น้ำท่วมโลก หรือว่าโลกพังทลายลงมา ด้วยอิทธิฤทธิ์และความรุนแรงของพระคงคา พระคงคายังคงไหลเวียนอยู่บนพระเศียรของพระอิศวร

กระทั่งในที่สุดพระอิศวรก็สยายพระเกษาปล่อยให้ไหลออกมา แล้วจึงไหลไปทางสระวินทุ พระคงคาแยกออกเป็น ๗ สายคือไหลไปทางทิศบูรพา ๓ สาย จึงได้ชื่อว่า แม่น้ำจักษุ แม่น้ำสีดา แม่น้ำสินธุ ไหลไปทางทิศประจิมอีก๓ สาย ที่ได้ชื่อว่าแม่น้ำนลินี แม่น้ำปาพนี แม่น้ำปุพนีส่วนสายกลางนั้นก็ไหลไปตามรอยรถของท้าวภคีรถ ที่เรียกกันว่าแม่น้ำพระคงคามหานทีที่เป็นแม่น้ำอันศักดิ์สิทธิ์ สามารถใช้ล้างบาปชำระกรรมต่างๆ ได้ครบทั้งสิ้นและมีความนิยมกันมาก ด้วยสาเหตุที่ต้นน้ำเชื่อมโยงมาจากสวรรค์ และแล้วพระคงคาก็ไหลเรื่อยไปตามรอยรถของท้าวภคีรถเรื่อยไปมิหยุดยั้ง พระฤษีและเทวดาพร้อมทั้งมนุษย์ต่างก็มีความยินดีรีบพากันมาอาบกินเพื่อจะได้เป็นที่ชำระล้างบาปสรรพกิเลส ทั้งหลายทั้งปวงให้หมดไป พระคงคาไหลไปตามทาง จนกระทั่งท่วมอาศรมและปรำพิธีของพระฤษีชลหุจึงสร้างความโกรธแค้นให้กับพระฤษี จึงทำอิทธิฤทธิ์อ้าปากกว้างกลืนแม่น้ำคงคาเข้าไปในปากจนหมดสิ้น มาภายหลังท้าวภคีรถก็ขอร้องและอ้อนวอนพระฤษีชลหุ จนเกิดความรำคาญจึงปล่อยพระคงคาไหลออกมาทางหู
ตั้งแต่นั้นมาพระคงคาจึงได้ชื่อใหม่ว่า ชานหวี โดยถือกำเนิดมาจากหูของพระฤษีชลหุ และยังเรียกกันว่าพระคงคาเป็นธิดาของพระฤษีชลหุอีกด้วย
ก็นับว่าพระฤษีชลหุนี้มากด้วยฤทธิ์และบารมี มีความเก่งกล้าสามารถ เป็นที่เกรงกลัวกันโดยทั่วไป ท่านที่ได้ศึกษาทางด้านไสยศาสตร์ก็ควรที่จะรำลึกนึกถึงท่านเอาไว้มากๆ ท่านก็จะประทานอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ และบารมีของท่านให้กับผู้ที่มีความสนใจที่ใคร่จะศึกษา และร่ำเรียนในวิชา
แขนงนี้ จะได้มีความเก่งกล้าสามารถเหมือนเยี่ยงเช่นพระองค์ท่านต่อไปในอนาคต......

พระฤษีพังตรุ
ท่านผู้นี้คือเทวดาตกสวรรค์ ครั้งอดีตกาลเป็นข้าช่วงใช้ของพระอิศวรบน
เทวโลก มีหน้าที่เฝ้าอุทยานของพระอุมา ในอุทยานนั้นมีมะม่วงที่รสอร่อย
เป็นพิเศษ และก็ออกผลทุกฤดูมิได้ขาด (มะม่วงทิพย์) ในระหว่างที่พระอิศวรและพระอุมายังมิได้เข้ามาในอุทยานนั้น เทวดาผู้นี้ก็เก็บผลมะม่วงมากินเล่นและยังได้เก็บเอาไปแจกจ่ายให้กับเหล่าเทวดาอื่นๆ นำไปขว้างปากันเล่นจนกระทั่งหมดเกลี้ยงต้น
บังเอิญถึงคราวเคราะห์ของเทวดาผู้นี้ พระอิศวรก็เสด็จเข้ามาในอุทยาน
อย่างไม่เป็นทางการ ก็เห็นว่าผลมะม่วงเกลื่อนกราดไปหมดและเมื่อดูบนต้น
ก็ไม่เหลือเลยแม้แต่ลูกเดียว พระอิศวรจึงเรียกเทวดาผู้นี้มาสอบถามในที่สุด
ก็รับสารภาพว่าตนเองได้เก็บเอามากินแล้วก็แจกจ่ายให้เทวดาอื่นๆ นำเอา
มาขว้างปากันเล่น พระอิศวรได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงทำโทษเทวดาผู้นั้น ด้วย
การขับไล่มิให้อยู่บนเทวโลกอีกต่อไป ให้ไปเป็นฤษีอยู่ที่เชิงเขาไกรลาศเป็นเวลาถึงหนึ่งหมื่นปี และให้มีจิตใจที่วิปลาส ได้หน้าลืมหลัง สติไม่ค่อยจะดี ให้มีอาการคลุ้มคลั่งและบ้าๆบอๆ อยู่อย่างนั้นตลอดไปจนกว่าจะพ้นคำสาป ก็คิดว่าน่าจะเป็นบทเรียนที่เป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านได้มากพอดู สำหรับลีลาของพระฤษีชั้นเทพนี้ก็ยังมีอีกมากมายแต่ก็มิค่อยมีสาระเท่าใดนัก จึงจะขอผ่านเลยไปจะได้เริ่มแนะนำพระฤษีในชั้นดินกันต่อไป..
แต่ว่าพระฤษีในชั้นดินของเรานี้มักจะไม่ค่อยเก่งเท่าใดนัก เพราะไม่ใช่
พระพรหม ไม่ใช่เทวดาจึงมีฤทธิ์ไม่สู้จะมากนัก ยังมีกิเลสครอบงำใจกันอยู่
เป็นส่วนมาก ยังตัดไม่ขาดจากทางโลกและจิตใจก็ยังไม่เป็นปกติ ยังมีความ
โลภเป็นบ่อเกิด จึงต้องมีการชิงดีชิงเด่นกัน อิจฉาริษยากลั่นแกล้งและรังแก
ซึ่งกันและกัน ไม่ชนะด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาชนะด้วยกล มนตร์คาถาหรือมายากล
ต่างๆที่นำเอาเข้ามาประกอบในการกระทำนั้นๆ จะมีพร้อมทั้งในด้านบารมี
และอิทธิฤทธิ์และเดียรัจฉานวิชา.....
พระฤษีครูแพทย์
....วิชาการแพทย์แผนโบราณมีหลักฐานการจดบันทึกมานานกว่า ๔,๐๐๐ ปี
มาแล้ว มีการรวบรวมเป็นคำภีร์ ชื่อว่า อายุรเวทย์ ซึ่งได้รวมความรู้เรื่อง การตรวจโรคการบำบัดด้วยยา การผ่าตัด การป้องกันโรค ในตำนานกล่าวว่า พระฤษีอินทร์สอนให้พวกฤษี และฤษีสอนให้แก่ศิษย์สืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน ในตำนานฤษีที่ได้เรียนวิชาแพทย์มาจากพระอินทร์แยกเป็นสองสาย
สายแรก ฤษีภรัทวาชะ กับ ฤษีอาเตรยะ ซึ่งสืบทอดกันมาถึงสมัยพุทธกาล
เป็นรุ่นสุดท้าย ( พ.ศ.๖๖๓-๖๘๓)
สายที่สอง ฤษีธันวันตรี ซึ่งสืบทอดมาถึงสมัยพุทธกาล เป็นรุ่นสุดท้ายเช่นเดียวกันโดยมี นาคชุน เป็นผู้รวบรวมแก้ไขเพิ่มเติม วิชาแพทย์เหล่านี้ใช้สืบต่อกันมา
พระฤษีตาวัว
เดิมที พระฤษีตาวัวนั้นเป็นพระภิกษุอยุ่ในบวรพุทธศาสนา ตาบอดทั้ง
สองข้าง แต่ชอบเล่นแร่แปรธาตุ เล่นปรอท หุงปรอท จนในที่สุดก็ประ
สบความสำเร็จด้วยอำนาจกสิณอภิญญา ได้ปรอทสำเร็จมาก้อนหนึ่งเรืองแสงในตัวได้ มีอิทธิฤทธิ์มากมายสารพัด มีอยู่คราหนึ่งปรอทบังเอิญเกิดพลัดตกลงไปในโถส้วม ท่านก็ใช้ให้ลูกศิษย์ควานหา และกำชับว่าจับก่อนที่มันจะเรืองแสงในตัวขึ้นมาลูกศิษย์ก็กลั้นใจควานหาปรอทจนกระทั่งพบด้วยความรักและเคารพในตัวอาจารย์ และถามอาจารย์ว่าท่านมีฤทธิ์มากมายเช่นนี้ไฉนไม่รักษาดวงตาของท่านให้หายท่านคิดได้ดังนั้นจึงให้ลูกศิษย์ไปหาศพคนตายมาใหม่ๆ แต่หาเท่าไรก็ไม่พบ พบแต่ซากวัวที่ตายจึงได้ควักดวงตาทั้งสองออกมาแทน เมื่อพระอาจารย์ได้มา ก็จัดแจงเอาตาวัวใส่เข้าในเบ้าตาของตนเองแล้วใช้ปรอทสำเร็จคลึงที่ดวงตาทั้งสอง ความมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เพราะดวงตาวัวที่ใส่เข้าไปแทนกลายเป็นดวงตาจริงๆ แต่กลับมีลักษณะเหมือนตาวัวท่านก็ไม่ว่าอะไร ได้แต่ขอบใจลูกศิษย์ และเนื่องจากอุปนิสัยของท่านชอบเล่นแร่แปรธาตุท่านจึงลาสิกขาบทออกจากความเป็นพระภิกษุแล้วมาเป็นฤษี ซ่อนกายอยู่ในป่า และได้นามจากคนทั่วไปว่า ' พระฤษีตาวัว ' แถมยังเป็นสหายสนิทของพระฤษีตาไฟอีกด้วย...
พระฤษีชาวาลี
เป็นพงศ์ฤษีจากพระฤษีกศป ท้าวทศรฐได้นิมนต์ฤษี 5 ตน มาในพิธีอัศวเมธ มี...พระฤษีกศป พระฤษีฤษยศฤงค์ และพระฤษีชาวาลี ส่วนอีก 2 ตน ไม่ปรากฏนาม
พระฤษีสนัตกุมาร
เป็นพรหมฤษี ได้เป็นคนทำนายไว้ว่าพระนารายณ์จะอวตารมาเป็นพระราม
ปราบยักษ์นนทุก ที่เป็นทศกัณฐ์
พระฤษีวิภาณฑก
เป็นพรหมฤษี มีบุตรชื่อพระฤษยศฤงค์ ต่อมาได้เป็นฤษีเช่นเดียวกัน
เป็นวงศ์ฤษีกศป
พระฤษี สัตยพรหม...( ไม่มีรูป )
เป็นพระพรหมที่ตั้งมั่นในสัจจาอธิษฐาน ท่านมีสัจจะและความจริงใจเป็นที่ตั้ง เกลียดคนคดโกง เกลียดคนกะล่อน คนขี้ฉ้อตอแหล และคนตลบตะแลง ส่งเสริมแต่คนที่ทำความดี สร้างกรรมดีมีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ฉ้อฉลด้วยเล่ห์กลต่างๆ ท่านจะคอยคุ้มกันและช่วยเหลือมิให้ตกต่ำหรือต้องตายอยู่ในกองทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงเป็นอันขาด
หากหมั่นกระทำแต่ความดี สักวันผลแห่งกรรมดีจะตอบสนอง หากกระทำแต่ความชั่วสักวันผลแห่งกรรมชั่วก็จะตอบสนองเช่นกัน...
พระฤษีตุลสิทาส ( ไม่มีรูปภาพ )
ในยุคหลังอันเป็นกลียุค พระฤษีผู้นี้เป็นต้นคิดและดัดแปลงแต่งคัมภีร์รามายณะขึ้นมาใหม่ เพื่อประสงค์ให้ผู้ที่ไม่รู้ภาษาสันสกฤตได้มีโอกาศได้รับส่วนผลบุญกุศลอันส่วนควรที่จะได้รับสำหรับผู้ที่ได้อ่านหรือได้สวดหรือได้ฟังเรื่องราวรามายณะนั้นมาบ้าง พระฤษีตุลสีทาส ผู้นี้จึงคิดแต่งเรื่องรามายณะขึ้นมาใหม่ซึ่งเปลี่ยนเป็นภาษาเบงกอล ที่ใช้พูดกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะว่าในกลียุคนี้ ผู้ที่รู้ภาษาสันสกฤตจริงๆแล้วก็เหลืออยู่น้อยคนเต็มที และท่าได้แต่งขึ้นมาโดยมิได้ตัดต่อแต่ประการใด คงเปลี่ยนแปลงแต่ภาษาและอักขระ
เท่านั้น คงดำเนินเรื่องราวไปตามแนวของพนะฤษีวาลมิกิอย่างเดิมและได้ตั้งชื่อคัมภร์ใหม่นี้ว่า ฉบับฮินดี และพระฤษีตุลสีทาส ก็ยังได้รับฉายาใหม่ว่า พระฤษีวาลมิกิ แห่งกลียุค สำหรับหนังสือหรือคัมภีร์รามายณะฉบับฮินดีนี้ ก็รู้สึกว่ามีผู้นิยมกันมาก จึงเป็นที่แพร่หลายไปตามชนบทของประเทศอินเดีย จึงจัดได้ว่ามีความนิยมสูงมีผู้สนใจไม่แพ้เรื่องรามายณะของพระฤษีวาลมิกิแต่ประการใดเลย...
สำหรับพระฤษีตุลสิทาสนี้เริ่มแรกเดิมทีเป็นแค่เพียงพราหมณ์ ถิ่นกำเนิดอยู่ในเมืองกานยกุพช์ เคยได้เป็นศิษย์เอกของพระฤษีวาลมิกิมาตั้งแต่แรกเริ่มจึงได้มีปัญญาแลปฏิภาณไหวพริบเป็นผู้ที่มีความสามารถอีกท่านหนึ่ง หลังจากพระฤษีวาลมิกิได้ละสังขารขึ้นไปบังเกิดอยู่ชั้นพรหมมีตำแหน่งเป็นพระพรหมฤษีไปแล้วจึงทำให้ ตุลสีทาส ได้ดำเนินรอยตามแบบพระฤษีที่เป็นครูอาจารย์ จึงปฏิบัติตนบำเพ็ญพรตอยู่ในเพศพระฤษีตั้งแต่นั้นมา ได้เริ่มแต่งคัมภีร์รามายณะ ฉบับฮินดีใหม่นี้ที่นคร อโยธยา เมื่อพุทธศักราชได้ 2118 ปี มาละวะสังวัตได้ 1631 ปี ท่านชอบเป็นพระฤษีภิขาจาร ย้ายสถานที่บ่อยๆ โดยมักจะอยู่ในเมืองพาราณสี แล้วย้ายไปอยู่อโยธยาบ้าง ที่เขาจิตรกูฏบ้าง...
พระฤษีอจนคาวี...( ไม่มีรูป )
เป็นผู้มีความรู้และความสามารถอยู่ในชั้นของผู้สำเร็จฌานชั้นสูง มีทั้งอิทธิฤทธิ์
และบารมีควบคู่กันไป และยังมีพระฤษีอีกองค์คือ...
พระฤาษียุทธอัคร...( ไม่มีรูป )
เป็นผู้ที่มีทั้งคุณธรรมและเมตตาธรรม พร้อมทั้งการปฏิบัติที่ทำให้บรรลุในดวงธรรมทั้งหลายทั้งปวงได้สำเร็จ และก็ยังมีพระฤษีอีกองค์คือ...
พระฤษีทหระ...( ไม่มีรูป )
นี่ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่มีคุรงามความดี ที่อยู่ในเพศสมณะและผู้ทรงศีล ไม่ยินดียินร้ายในทรัพย์ภายนอก ต้องการเพียงทรัพย์ภายในเท่านั้นจึงได้มุงมั่นบำเพ็ญตบะสร้างบารมีมิได้หยุดหย่อนจึงได้สำเร็จฌานบารมีบรรลุในธรรมอันสูงค่า มีทั้งความศักดิ์สิทธิ์ และอิทธิฤทธิ์นานาประการ....
พระฤษียาคมุนี...( ไม่มีรูป )
นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง เช่นเดียวกัน ท่านมีทั้งด้านความเก่งกล้า ด้วยคาถาอาคม และเมตตามหานิยมไม่ยิ่งหย่อน เป็นผู้สำเร็จในธรรมธีรคุณที่ท่านได้เทิดทูนและปฏิบัติบูชา ด้วยความมานะพยายามอันแสนจะยากลำบาก ผลสุดท้ายก็ได้สำเร็จผล
พระฤษีทั้ง 4 พระองค์นี้มีอาศรมใกล้ๆกัน ในป่าเดียวกันและเขตเดียวกันมิหนำซ้ำยังเป็นเพื่อนรักที่สนิทสนมต่อกันอีกด้วย ท่านมักจะไปมาหาสู่กันอยู่เสมอๆเพื่อที่จะได้ปรึกษาหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ในด้านของภูมิธรรม เมื่อท่านได้ผนึกกำลังร่วมใจกันเป็นหมู่คณะแล้ว จึงไม่มีใครกล้ามารุกรานราวีให้ได้รับความเดือดร้อนด้วยอิทธิฤทธิ์ของทั้ง 4 พระฤษีนี้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาสำหรับผู้ที่เคยพบเห็นมาแล้ว และในด้านกิติศัพย์ก็เป็นที่เล่าลือกันทั่วๆไป จึงมีแต่ความสงบสุขตลอดมา
สำหรับเหตุการณ์และประวัติของท่านที่ยังจารึกเอาไว้ ตราบจนทุกวันนี้ ส่วนมากปวงชนก็มักจะเรียกกันจนติดปาก และเรียกกันอยู่บ่อยๆเสียด้วย
ครั้งหนึ่งซึ่งนานมาแล้ว ก่อนหน้าที่พระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระราม ได้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมาเกี่ยวกับพระฤษีทั้ง 4 พระองค์นี้ พระนารายณ์ได้บรรทมสินธุ์อยู่บนบัลลังก์อนันตนาคราชในทะเลกเษียรสมุทรท่านได้กระทำเทวฤทธิ์ ซึ่งเป็นกิจวัตรของท่าน ด้วยการท่องบ่นมนต์สำคัญจึงได้บังเกิดมีดอกปทุมชาติ(ดอกบัว)ดอกใหญ่มหึมาขึ้นมาจากพระนาภี(สะดือ)ขององค์พระนารายณ์ ดอกบัวนั้นค่อยๆคลี่ขยายกลีบบานออก จึงปรากฏเป็นพระพรหมองค์หนึ่งยืนอยู่ในดอกบัว พร้อมทั้งยังชูพระกุมารองค์หนึ่งแล้วจึงส่งให้พระนารายณ์ ฝ่ายองค์พระนารายณ์ผู้เป็นเจ้าก็อุ้มเอาเทวกุมารนั้นมาขึ้นเฝ้าพระอิศวรผู้เป็นเจ้าสวรรค์ แล้วก็ทูลถวายพระราชกุมารต่อพระอิศวรพร้อมทั้งเล่าสาเหตุ ในการบังเกิดเป็นพระกุมารโดยตลอด ฝ่ายพระอิศวรท่านได้รับฟังจากคำที่พระนารายณ์เล่ามา ก็ให้มีความสงสัยเป็นอย่างมากจึงทรงส่องทิพย์ฌานดูก้รู้ถึงเหตุผลด้วยกุมารนี้ต่อไปในภายหน้าก็จะได้สืบวงค์ขององค์พระนารายณ์ พระอิศาวก็ทรงดีพระทัยเป็นที่สุด จึงสั่งให้พระอินทร์และพระวิศณุกรรมและเทวดาผู้ติดตามกระทำหน้าที่เป็นโยธาธิการอีกเป็นจำนวนมากให้ลงไปยังโลกมนุษย์แล้วหาสถานที่เหมาะๆทำการก่อสร้างเมืองให้ใหญ่โตและสวยงามอันวิจิตรพิศดารเพื่อจะมอบให้กับกุมารนี้ ให้เป็นกษัตริย์ผู้ครอบครองเมืองต่อไปในภายหน้า
ฝ่ายพระอินทร์และพระวิศณุกรรมและเทวดาผู้เป็นบริวารก็ยกขบวนเหาะทยานลงมาที่ป่าประชุมศรีทวาราวดีซึ่งสถานที่แห่งนั้นมีต้นชุมเห็ดชุกชุม แล้วพระอินทร์และบริวารก็ได้พบกับพระฤษีทั้ง 4 องค์ คือ พระฤษีอจนคาวี พระฤษียุทธอัคร พระฤษีทหระ พระฤษียาคมุนี ด้วยพระฤษีทั้ง 4 นี้ยังได้บำเพ็ญตบะอยู่ในป่าแห่งนั้นพระอินทร์จึงได้ปรึกษาหารือกับพระฤษีในเรื่องการจัดสร้างพระนครให้กับพระกุมาร พระฤษีทั้ง 4 ก็ดีใจและเห็นด้วยกับคำบอกเล่าของพระอินทร์ จึงได้ช่วยอำนวยความสะดวกและรับเป็นธุระช่วยสร้างเมืองในครั้งนี้เพื่อจะให้ได้มาตรฐานสวยงามราวกับเมืองสวรรค์ จึงจัดแจงหาฤกษ์ยามและกำหนดนัดหมายวันและเวลามงคล
ครั้งถึงข้างขึ้น เดือน 6 ปีขาล วันจันทร์เป็นธงชัยจึงเนรมิตขึ้นมาเป็นเมืองหลวงที่ใหญ่โตและสวยงาม ล้วนไปด้วยแก้ว 7 ประการแล้วทรงขนานนามพระนครนี้โดยการเอาชื่อพระฤษีทั้ง 4 องค์มารวมกัน คือ อจนควี ใช้คำว่า อ...ยุทธอัคร ใช้คำว่า ยุ...ทหะระ ใช้คำว่า ท...ยาคะ ใช้คำว่า ยา...เมื่อนำอักษรเข้ามารวมกันก็จะเป็น อ-ยุ-ท-ยา อ่านได้ใจความว่า อยุทยา แล้วเปลี่ยนมาเป็น อยุธยา จึงลงมติกันเป็นเอกฉันท์ให้นำเอาชื่อป่าชุมเห็ดนั้นเข้ามารวมด้วย จึงได้กลายเป็น พระนครหลวงที่มีชื่อว่า กรุงทวาราวดีศรีอยุธยา
เพื่อที่จะได้สืบสันติวงค์ขององค์พระนารายณ์ และยังได้ประทานนามให้กับพระกุมารองค์นั้นว่า ท้าวอโนมาตัน เป็นกษัตริย์พระองค์แรกของกรุง กรุงทวาราวดีศรีอยุธยา และอภิเษกกับนางวิกา แห่งกาโรนครในทวีปอุดรเป็นพระชายา แล้วต่อจากนั้น ท้าวอโนมาตันก็ปกครองนครมาโดยสันติสุขสืบต่อมาจนถึงยุคพระราม....
พระฤษีสินธู...พระฤษีสุทน...พระฤษีสนธิ...พระฤษีมิลินทร์...( ไม่มีรูป )
ด้านเชิงเขาพระสุเมรุราชซึ่งเป็นดินแดนติดด่อในระหว่างเขาไกรลาสและป่าหิมพานต์ยังมีพระฤษที่กำลังจะกล่าวถึงอีก 4 องค์ ที่ท่านมีความเก่งกล้าสูงด้วยบารมีธรรมอยู่ด้วยกันเป็นหมู่คณะและมีความสามารถเท่าเทียมกัน
พระฤษีสินธู ผู้มีความเก่งกล้าสามารถเป็นผู้นำหมู่คณะ
พระฤษีสุทน เป็นพระฤษีที่มีตบะธรรมอันลึกล้ำ
พระฤษีสนธิ เป็นอีกองค์ที่มีอิทธิฤทธิ์มากด้วยบารมี
พระฤษีมิลินทร์ เป็นผู้สร้่างสรรค์คุณงามความดีในทุกอย่าง
พระฤษีทั้ง 4 องค์นี้ท่านรักใคร่สามัคคีมีความปรองดองกันอย่างดี ไม่ว่าจะมีปัญหาใดๆเกิดขึ้นกับองค์ใดองค์หนึ่ง ท่านก็จะต้องหันหน้ามาปรึกษาหารือกัน เพื่อที่จะหาทางแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆและช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้ทันต่อเวลา ถึงแม้จะถือเพศเป็นพระฤษี แต่ก็ยังมีพวกมีพ้องยังจะต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันอยู่ในฉันท์พี่น้องที่ซื่อสัตย์ต่อกัน ที่บริเวรอาศรมของพระฤษีทั้ง 4 องค์นี้ ก็ยังมีอ่างแก้วใบใหญ่ที่เทวดาลงมาเนรมิตให้พระฤษีทั้ง 4 ออกจากฌานในยามเช้าก็จะต้องมานั่งคุยปรึกษาหารือสนทนาธรรมกันโดยวงรอบอ่างแก้วใบนั้นทุกเช้าและทุกวันเป็นประจำ ภายในป่าหิมพานต์ย่านนั้นก็ยังมีฝูงแม่โคนม 500 ตัว อาศัยอยู่และเที่ยวหากินอยู่ในบริเวรนั้น ทุกเช้าฝูงแม่โคเหล่านั้นก็จะพากันมาที่อาศรมแล้วก็หยดน้ำนมลงในอ่างแก้วใบนั้น เพื่อถวายให้พระฤษีฉัน ทั้ง 4 พระฤษีก็มานั่งสนทนาธรรมแล้วก็ดื่มน้ำนมโคนั้นทุกวันพร้อมกัน เป็นกิจวัตรประจำวัน
ในบริเวรนั้นยังมีนางกบตัวหนึ่ง ซึ่งหมอบนิ่งอยู่ข้างอ่างแก้วน้ำนมโค เมื่อพระฤษีออกมาฉันครั้งใด ก็จะต้องตักเอาน้ำนมนั้นให้นางกบได้กินด้วย จนอิ่มหนำสำราญไม่ต้องออกไปหากินที่ไหน
วันหนึ่งพระฤษีทั้ง 4 เมื่อออกจากฌานแล้วก็ชวนกันออกไปหาผลไม้ในป่าเอามาเก็บไว้ฉันและหาเก็บดอกไม้มาใส่ที่บูชา พระฤษีทั้ง 4 ก็พากันเดินออกไปเรื่อยๆ ยังมีธิดาพญานาคนางหนึ่งชื่อ อนงค์ เป็นธิดาของ พญากาลนาค ผู้ครอบครองเมืองบาดาลในวันนั้นนางนาคอนงค์ก็หนีบิดาขึ้นมายังป่าหิมพานต์ เพื่อที่จะหาคู่ครองที่ถูกใจในป่านั้นนางก็เที่ยวไปทุกหนทุกแห่งแต่ก็หาไม่พบ แล้วก็ถึงคราวที่จะต้องเกิดเหตุ นางนาคอนงค์ก็เที่ยวมาใกล้อาศรมพระฤษีทั้ง 4 พบกับงูดินตัวหนึ่ง นางนาคอนงค์ก็สิ้นคิดเพราะหาคู่ไม่ได้ นางจึงร่วมรักกับงูดินตัวนั้น โดยไม่คิดคำนึงว่าศักดิ์ศรีของนางนั้นสูงกว่างูดินตั้งมากมาย เมื่อนางต้องการอยากจะได้ ความอายก็จึงไม่เกิด จึงมั่วกับงูดินพันกลมอยู่ที่ดงหญ้าข้างทางระหว่างป่าหิมพานต์ ก็นับว่านางนาคอนงค์ผู้นี้ก็มีความสุขไปได้ชั่วขณะหนึ่ง และพอดีขณะนั้นพระฤษีทั้ง 4 เดินมาพบเข้าก็ปลงอนิจจัง ว่านางนาคอนงค์ ทำไมจึงทำตัวเช่นนั้นมันไม่สมควรเลย ด้วยความจำเป็นพระฤษีทั้ง 4 จึงใช้ไม่เท้าที่ติดมือมานั้นเขี่ยที่ขนดหาง เพื่อหวังว่าจะให้นางนาคอนงค์ได้รู้สึกสำนึกในศักดิ์ศรีของตนเอง ว่ามันห่างกันราวฟ้ากับดิน พอนางนาคอนงค์รู้สึกตัวก็ให้มีความอายต่อพระฤษีทั้ง 4 เป็นที่สุดไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี นางนาคอนงค์จึงรีบแทรกแผ่นดินหนีไปเมืองบาดาลโดยเร็ว พระฤษีทั้ง 4 เห็นเหตุการณ์ก็หัวเราะกัน หึ..หึ..แล้วพากันกลับอาศรม
ฝ่ายนางนาคอนงค์เมื่อหนีไปแล้วก็ให้มีความเจ็บแค้นพระฤษีทั้ง 4เนื่องจากความอายนางจึงคิดจะแก้แค้นพระฤษีให้จงได้ จึงต้องขึ้นมาจากบาดาลอีกครั้ง แล้วจึงคอยดูทีท่าเพื่อหาช่องทางเล่นงานพระฤษีทั้ง 4ด้วยความโกรธแค้นใหเจงได้ พอได้โอกาสในยามดึกสงัด นางนาคเห็นว่าไม่มีผู้ใดรู้ผู้ใดเห็น จึงตรงไปที่อ่างแก้วที่ใส่น้ำนมโคใบนั้น แล้วจึงคายพิษอันแรงกล้าลงไป เพราะนางรู้ว่าตอนเช้าพระฤษีทั้ง 4 จะต้องมาฉันน้ำนมแล้วจะต้องดื่มเอาพิษของนางเข้าไปด้วย พระฤษีทั้ง 4 องค์จะต้องตายไม่เหลือแม้แต่องค์เดียว เมื่อนางนาคอนงค์คายพิษใส่อ่างแก้วเรียบร้อยแล้วก็กลับเมืองบาดาลด้วยความมั่นใจ แต่เดชะบุญบารมีที่พระฤษีทั้ง 4 ยังมิถึงฆาต การกระทำของนางนาคอนงค์ ไม่รอดพ้นสายตาของกบที่หมอบนิ่งอยู่ข้างอ่างแก้วไปได้ นางกบก็คำนึงคิดทบทวนด้วยความกตัญญูรู้คุณพระฤษีทั้ง 4 ที่มีความเมตตาแบ่งน้ำนมให้กินทุกวัน นางมีความซาบซึ้งในบุญคุณเป็นล้นพ้น ในการครั้งนี้ไมาสามารถที่จะทนดูพระฤษีผู้มีพระคุณต้องดื่มพิษร้ายของนางนาคอนงค์แล้วต้องตายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้เป็นอันขาด จะต้องตอบแทนพระคุณของท่าน นางกบน้อยจึงตัดสินใจกระโดดลงบไปในอ่างแก้วที่มีน้ำนมผสมพิษร้ายของนางนาคและสิ้นชีวิตลอยอยู่ในอ่างนั่นเอง
ครั้นได้เวลาในตอนเช้า พระฤษีทั้ง 4 องค์เมื่อออกจากฌานแล้วก็พากันมานั่งที่รอบอ่างนมเพื่อที่จะได้ดื่มน้ำนมเช่นเคยแต่แล้วพระฤษีทั้ง 4 ก็ต้องตกตะลึงตาค้าง เมื่อเห็นนางกบน้อยนอนตายลอยอยู่ในอ่างน้ำนมนั้น
....' ตะกละสิ้นดี ' พระฤษีสุทนรำพึงขึ้นมาเบาๆ...
....' ก็เพราะความตะกละแท้ๆเลยต้องตกลงไปตาย ' พระฤษีมิลินทร์พูดด้วยการปลงอนิจจัง...
....' เราก็ได้เลี้ยงดู แบ่งให้กินจนอิ่มทุกวัน ไม่น่าจะตะกละอย่างนี้เลย ' พระฤษีสนธิพูดขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนัก
แต่แล้วพระฤษีสินธูผู้ซึ่งเป็นผู้ได้สติและมีปัญญากว่าใครๆ ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างสงสัยเป็นเชิงปรึกษาหารือกันว่า ' อาจจะต้องมีเหตุร้ายอะไรบางอย่างเชื่อว่านางกบนี่คงจะมิได้ตายเพราะความตะกละหรอก มันคงจะต้องมีเหตุอะไรเกิดขึ้นเป็นแน่ '... คำพูดของพระฤษีสินธูทั้งเชื่องช้าและราบเรียบ แต่ทว่าเมื่อฟังดูแล้วก็ดูจะมีเหตุผลไม่น้อย ทำให้พระฤษีทั้ง 3 ถึงกับอึ้งอย่างใช้ความคิดพระฤษีสินธูจึงกล่าวต่ออีกว่า 'เราควรจะต้องพิสูจน์กันให้รู้แน่ว่าอะไรคืออะไรกันแน่ '...พระฤษีสุทนเห็นด้วย จึงก้มลงไปหยิบเอานางกบน้อยขึ้นมาแล้ววางลงตรงหน้า จากนั้นพระฤษีทั้ง 4 ก็นั่งล้อมกันเป็นวง
ช่วยกันเป่ามนต์อันศักดิ์สิทธิ์ ชุบให้นางกบฟื้นขึ้มาทันที นางกบน้อยค่อยๆกระดิกกายแล้วก็ฟื้นขึ้มาในที่สุด พระฤษีทั้ง 4 ก็สอบถาม นางกบน้อยก็เล่าให้ฟังตามความเป็นจริง ตั้งแต่นางนาคอนงค์ลอบเข้ามาคายพิษเอาไว้ในอ่างน้ำนมเพื่อที่จะฆ่าพระฤษีทั้ง 4 ให้ตายแต่ด้วยใจของนางกบมีความกตัญญูรู้คุณที่พระฤษีได้เลี้ยงตนมานาน จึงได้ตัดสินใจกระโดดลงไปตายเสียเองดีกว่าที่จะทนเห็นพระฤษีทั้ง4 องค์ต้องมาตาย
เมื่อพระฤษีไดฟังนางกบเล่าก็นึกรู้ได้ทันทีว่านางนาคผู้ที่ได้เที่ยวสมพาสกับงูดินนั่นเองที่มันมีความอายแล้วแทรกแผ่นดินหนีไป มันจึงคิดย้อนกลับมาแก้แค้น และนางกบตัวนี้มันก็แสนที่จะมีน้ำใจอันประเสริฐเลิศล้นและงดงามนักจึงได้ปรึกษาหารือกันและเตรียมของขวัญมอบให้แก่นางกบ โดยช่วยกันหาฟืนในป่าใบไม้กิ่งไม้แห้งนำมาสุมให้เป็นกองโตและช่วยกันติดไฟสุม พระฤษีทั้ง 4 องค์ ก็นั่งหลับตาบรอกรรมพระคาถาอาคม ทำพิธีกันอยู่พักใหญ่ๆก็เห็นว่าพอจะเข้าขั้นและใช้ได้แล้วจึงลืมตาแล้วหันมาจับตัวเอานางกบน้อยนั้นโยนเข้าไปในกองไฟเพื่อที่จพชุบนางให้กลายเป็นคน แล้วพระฤษีทั้ง 4 ก็หลับตาภาวนาต่อไปด้วยความมุ่งมั่นและมานะพยายามที่จะต้องทำพิธีนี้ให้สำเร็จ
เวลาล่วงเลยไปไม่นานนักดินฟ้าอากาศที่แจ่มใสในยามเช้า ก็กลับกลายเป็นมืดมิดเหมือนประหนึ่งว่าจะมีเหตุอาเภทอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง พระพายก็พัดกระพือมาอย่างแรงหมุนคว้างเป็นวงกลมคล้ายกับเป็นลมบ้าหมูไม่มีผิด หมุนติ้วอยู่บริเวณกลางกองไฟแห่งเดียว อีกไม่นานนักก็มีกลุ่มควันสีขาวปนด้วยสีเทาจางๆหมุนคว้างขึ้นมาตามแรงของลมที่กำลังพัดกระพือและยิ่งหมุนเร็วขึ้นไปในทุกขณะ เมื่อกลุ่มควันจางลง ภาพที่เห็นก็คือหญิงรูปงามนางหนึ่งยืนพนมมือสงบนิ่งอยู่กลางกองไฟ ซึ่งบัดนี้ไม่มีฟืนไฟเหลือให้เห็นอีกเพราะลมได้พัดพาไปจนหมดสิ้นแล้ว พระฤษีทั้ง 4 ค่อยๆลืมตาขึ้นมองนางกบน้อยที่บัดนี้ได้กลายเป็นหญิงรูปงาม นางเยื้องกรายเข้ามาก้มกราบพระฤษีด้วยความเคารพ พระฤษีทั้ง 4 ก็ให้พร พร้อมกับช่วยอบรมสั่งสอนต่างๆนาๆแล้วพร้อมใจกันตั้งชื่อให้ว่า นางมณฑก( เพราะอดีตชาติของนางเป็นกบจึงมีนมโตข้างเดียว ) ชื่อนางมณฑกนี้ต่อมาก็เรียกกันผิดๆ เลยเป็น นางมณโฑ ไปเลย
หลังจากที่ปรนนิบัติพระฤษีไม่นานนัก พระฤษีทั้ง 4 ก็พานางมณฑกขึ้นไปถวายพระอิศวร เพื่อที่จะได้มีอนาคตที่ดีต่อไป พระอิศวรท่านก็ทรงรับเอาไว้ แล้วมอบให้เป็นนางกำนัลของพระอุมา ด้วยว่านางมณฑกเป็นผู้ที่มีจิตใจซื่อสัตย์บริสุทธิ์ มีความกตัญญูรู้คุณ ไม่มีนิสัยเจ้าแง่แสนงอนเหมือนหญิงอื่น นางมณฑกมีความขยันขันแข็ง และยังเอาอกเอาใจประจบเก่งพระอุมาจึงรักและถ่ายทอดวิชาให้ สั่งสอนอบรมในด้านเวทมนต์คาถา จนกระทั่งนางมณฑก มีวิชาติดตัวกลายเป็นนางฟ้าผู้ใกล้ชิดกับพระอุมาและพระอิศวรมากที่สุด มีความสุขอยู่บนสวรรค์เพราะความดีที่ทำเอาไว้นั่นเอง....