
พระฤษีประไลยโกฏิ
พระฤษีพระองค์นี้บำเพ็ญตบะสร้างบารมีอยู่ในป่า เพื่อหวังสำเร็จฌานบารมีแล้วจะได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ ตั้งใจปฏบัติกรรมฐานบำเพ็ญพรตด้วยความมานะพยายาม มุ่งมั่นในนิพพานอย่างเดียวด้วยในระหว่างนั้นมวลมนุษย์ทั้งหลายกำลังเดือดร้อน และกังวลเรื่องอาหารการกินมนุษย์ทุกคนต้องดิ้นรน แสวงหาสิ่งของเพื่อประทังความหิวโหยแต่ก็รู้สึกว่าจะหายากเหลือเกินแม้แต่องค์พระฤษีประไลยโกฏิเองก็เถอะ ท่านก็ยังมิวายกังวลห่วงใยประชาชนเหล่านั้นเช่นเดียวกัน มองหาช่องทางใดก็ไม่มีความสามารถช่วยได้ จึงต้องนิ่งบำเพ็ญพรตต่อไป
ด้วยอภินิหารและบุญญาธิการของท่านจึงปรากฏเหตุการณ์มศจรรย์ขึ้นมา พายุใหญ่พัดกระหน่ำรุนแรงต้นไม้ใหญ่น้อยหักระเนระนาดต่อจากนั้นฝนก็ตกกระหน่ำลงมาอย่างหนักทำให้น้ำท่วมขังรอบๆ อาศรมของพระฤษี แล้วทั้งพายุและฝนก็สงบลงไปในที่สุด เหตุการณ์อภินิหารในครั้งนี้ก็มีเมล็ดข้าวสาลีปลิวมากับพายุฝนนั้นตกลงมาแถวบริเวณหน้าอาศรม
ตั้งแต่เชิงบันไดไปจนถึงสระน้ำเมล็ดข้าวสาลีฝังอยู่ในดินที่มีน้ำท่วมอยู่นั้นก็เริ่มกระเทาะเปลือกแตก ออกมาเป็นต้นงอกงามเขียวชอุ่มไปทั่วบริเวณ มองดูสวยงามยิ่งนัก พระฤษีประไลยโกฏิก็มีความปลื้ม ปิติยิ่งนักจึงเฝ้าดูต้นไม้ที่ยังไม่รู้ว่าเป็นต้นอะไรเหล่านั้น จนกระทั่งต้นข้าวแตกรวง และสุกเหลืองอร่ามในเวลาต่อมา ทั้งยังส่งกลิ่นหอม พระฤษีก็มีความ ยินดีรำพึงกับตนเองว่า'มันเป็นผลอะไรกันหว่า ช่างมีกลิ่นหอมยวนใจเหลือเกินไม่รู้ว่ามนุษย์จะกินได้หรือเปล่า เราจะต้องคอยดูว่าจะมีนกกาหรือสัตว์อื่นใดมากินหรือไม่ ถ้านกกากินได้มนุษย์ก็กินได้เมื่อนั้นมนุษย์ก็จะมีอาหารการกินเพิ่มขึ้น' แล้วพระฤษีก็เฝ้าดูอยู่เงียบๆ
ต่อมาอีกไม่นานก็มีนกกระจาบตัวน้อยๆ ไม่รู้ว่าบินมาจากไหนได้ลงมาจิกกินเมล็ดข้าวสาลีจนอิ่มและก่อนบินกลับมันยังคาบเอารวงข้าวสาลีกลับไปด้วย แล้วอีกไม่นาน ก็มีนกกระจาบฝูงใหญ่พากันบินลงมาที่ต้นข้าวสาลีต่างพากันจิกกินอย่างเอร็ดอร่อย ส่งเสียงร้องดังเจี๊ยวจ๊าวจ้อกแจ้กจอแจ ฟังไม่ได้สรรพ เมื่อพวกมันกินอิ่มแล้ว ก่อนกลับทุกตัวยังคาบเอารวงข้าวสาลีกลับไปด้วย พระฤษีเห็นเช่นนั้นก็ดีใจ คิดในใจว่า ต่อไปนี้มวลมนุษย์จะไม่ต้องเดือดร้อนในเรื่องอาหารการกินอีกแล้วเพราะจะมีอาหารเพิ่มขึ้น รอจนกองทัพนกกระจาบไปหมดแล้ว พระฤษีก็ลงจากอาศรมเก็บรวบรวมเอารวงข้าวสาลีขึ้นมาไว้ในอาศรม เพื่อจะได้ขยายพันธุ์ต่อไปให้ได้มากๆ จะได้พอเพียงกับความต้องการของมนุษย์ ในปีต่อมาพอถึงฤดูกาลที่ฝนตกลงมา พระฤษีท่านก็ไถนาแล้วเอาเมล็ดข้าวสาลีหว่านไปทั่วพื้นดิน พอออกรวงก็เก็บเอามาไว้เป็นพันธุ์ ท่านทำอย่างนี้ทุกปีจนพันธุ์ข้าวสาลีมากขึ้นพอกับความต้องการก็นับได้ว่าพระฤษีประไลยโกฏิท่านมีบุญคุณกับมวลมนุษย์อย่างมากมายในด้านของโภชนาการ
หากท่านไม่สนใจหรือถือว่าธุระไม่ใช่ไม่เก็บพันธุ์ข้าวสาลีเอาไว้ ป่านนี้ก็อาจจะสูญพันธุ์ไปแล้วก็ได้เพราะนกกระจาบฝูงใหญ่และความอบคอบของพระฤษีกับความปรารถนาดีของท่านจึงทำให้มนุษย์มีข้าวสาลีเป็นอาหารมาจนทุกวันนี้ นี่แหละคือฝีมือของพระฤษีทำนาองค์นี้แหละ ควรที่พวกเราจะต้อง

พระฤษีชนกจักรวรรดิ
พระฤษีองค์นี้เป็นกษัตริย์แห่งนครมิถิลา ก็คือ ท้าวชนก นั่นเอง ได้สละสมบัติออกมาบำเพ็ญพรตอยู่ในป่าวันหนึ่งเมื่อพระฤษีออกจากฌานแล้วก็ลงไปสรงน้ำในแม่น้ำ เห็นดอกบัวใหญ่ลอยน้ำมาพระฤษีก็มีความสงสัยว่าดอกบัวอะไร ทำไมถุงใหญ่เช่นนั้น ด้วยไม่เคยมีและไม่เคยเห็นมาก่อนเลย จึงได้เก็บดอกบัวนั้นขึ้นมาจากน้ำ ก็เห็นผลบแก้วอยู่ในดอกบัว พระฤษีก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น จึงเข้าฌานดูก็รู้ว่าในผอบนั้นมีเด็กหญิงที่มากด้วยบุญญาบารมีอยู่ในนั้น
เมื่อพระฤษีรู้เช่นนั้นแล้วก็เปิดผอบแก้วนั้นออก แล้วจึงอฐิษฐานจิตให้นิ้วของท่านมีน้ำนมไหลออกมา เพื่อจะได้ให้พระธิดาดื่มกิน เลี้ยงมาจนกระทั่งเห็นสมควรแล้วจึงนำเอาพระธิดานั้นไป ฝากให้พระธรณีเลี้ยงเอาไว้ ครั้นต่อมาเมื่อพระฤษีเบื่อจากการบำเพ็ญคิดจะกลับพระนครก็ชักชวนบริวารของท่าน ไปขุดผอบแก้วที่ฝังเอาไว้ แต่ถึงแม้จะใช้ความพยายามขุดกันสักเท่าใด ก็หาได้พบผอบแก้วนั้นไม่ เล่นเอาพระฤษีถึงกับเหงื่อหยดจึงต้องทำพิธีบวงสรวงขอจากเทพธิดาและพระธรณีแล้วให้คนสนิทเข้าไปในนครมิถิลา แล้วนำเอาคันไถ ออกมาทำการไถนาหาผอบแก้วต่อไป นี่แหละเป็นที่มาของคำว่าพระฤษีไถนา
ในที่สุดก็ได้ผอบแก้วขึ้นมาจากใต้ดินตามความต้องการ พระฤษีจึงประทานนามให้ว่า สีดา แปลว่าได้ขึ้นมาจากรอยไถ แล้วพระฤษีก็ลาเพศจากฤษีกลับเข้าไปครองนครมิถิลาเหมือนอย่างเดิม ในนามของท้าวชนก และสถาปนาสีดานั้น ให้เป็นราชบุตรตรีบุญธรรม แล้วจึงเลี้ยงดูอย่างเป็นสุขตลอดไป......
พระฤษีนาวัน (ไม่มีภาพ)
เป็นพระฤษีที่มีเมตตาธรรม บำเพ็ญตบะสร้างบารมีอยู่ในป่าแห่งภูเขาดงพญาไฟ ที่เต็มไปด้วยไข้ป่าและอันตรายนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ที่อาศัยอยู่ในป่า ก็ล้วนแล้วแต่ดุร้ายทั้งสิ้นทั้งเสือ สิงห์ กระทิง แรด และอสรพิษต่างๆ ก็มีอยู่มากมาย นอกจากนั้นก็ยังมี ผีโป่ง ผีป่า ผีกระสือ
ผีกระหัง ผีกองกอย ผีปอบ มีทั้งยาเบื่อยาสั่งสารพัดที่ล้วนแต่อันตราย แต่พระฤษีนาวันท่านก็มิได้เกรงกลัวแต่อย่างใด คงนั่งหลับตาภาวนาอยู่ในอาศรมเท่านั้น หากไม่จำเป็นก็จะไม่ออกไปไหน นอกจากจะออกไปหาน้ำและผลไม้เอามาเป็นเสบียงไว้ฉันท์เท่านั้น ท่านมองเห็นว่าอันชื่อดงพญาไฟนั้นไม่เหมาะท่านจึงปรึกษาหารือกันหลายฝ่ายได้ผลสรุปให้เปลี่ยนมาเป็น ภูเขาดงพญาเย็น มาจนถึงทุกวันนี้...
พระมหาเทพฤษีเทวราตมุนี (ไม่มีภาพ)
ในประวัติของเทพฤษีองค์นี้ก็มีอยู่ว่า ท่านเป็นต้นตระกูลของนครมิถิลา ด้วยเมื่อครั้งหนึ่งเหล่าเทวดาทั้งหลายต่างก็มีความสงสัยกันว่า ในระหว่างพระอิศวรและพระนารายณ์ใครจะเก่งกว่ากัน จึงขอร้องให้ทั้งสองพระองค์มาประลองฤทธิ์กัน พระอิศวรทรงแผลงศรอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ออกไป แต่ก็ทำอะไรพระนารายณ์ไม่ได้ เพียงแต่พระนารายณ์ตวาดคำเดียวเท่านั้น ลูกศรนั้นก็อ่อนปวกเปียกลงไป เหล่าเทวดาจึงยกให้พระนารายณ์เป็นผู้ที่เก่งกล้า ในที่สุดพระอิศวรก็ทรงน้อยพระทัย และทรงกริ้วธนูและลูก
ศรอันนั้นจึงทรงประทานให้กับพระมหาเทพฤษีเทวราตมุนีตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จึงตกทอดลงมาถึงท้าวชนกมาในสมัยพระรามโก่งศรจนกระทั่งศรหัก แล้วได้นางสีดาไปเป็นชายา ส่วนศรของพระนารายณ์นั้นได้ตกอยู่กับพระฤษีฤจิก แล้วมอบให้พระฤษีชมทัศนี จนกระทั่งตกมาเป็นสมบัติของปรศุราม..
พระฤษีคิชฌกูฎ (ไม่มีภาพ)
ท่านผู้นี้ก็เป็นเทพฤษีที่มีบารมีมากมาย ได้บำเพ็ญตบะธรรมอยู่ในป่าลึกใกล้กับป่าหิมพานต์ อาศรมของท่านอยู่บนภูเขาที่เรียกว่า เขาคิชฌกูฎ ท่านมีนิสัยดุเสียงดัง ถ้าหากว่าไม่สบอารมณ์ หรือว่าโมโหมากๆ นัยตาท่านจะแดงก่ำราวกับเลือดทีเดียว แต่เดิมทีพระฤษีคิชฌกูฎนี้ มิใช่มนุษย์และมิใช่เทวดาเป็นแต่เพียงพวกแทตย์ หรือทานพ ผู้ซึ่งมีร่างกายเป็นเทวดา แต่หน้าตานั้นดุปานยักษ์ ซึ่งก็เป็นเชื้อสายของพระกัศยปะเทพบิดรเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะดุราวกับยักษ์มาร แต่ภายในจิตใจของท่านดีเอามากๆทีเดียวใครจะบนบานศาลกล่าวในด้านการเจ็บป่วย ท่านก็มักจะรับบนท่านจะช่วยเสมอไป เพราะว่าท่านเป็นหมอยาเก่งในทางสมุนไพรและคาถาอาคมมากมายยากที่จะหาผู้ใดมาเทียบได้หากท่านต้องการให้ท่านช่วยรักษาโรคก็จงตั้งจิตอฐิษฐานบนบานกับท่าน ขอให้ท่านช่วยรักษาโรคร้ายให้กับเรา แต่เมื่อรักษาหายแล้วก็อย่าลืมแก้บน เพราะมีอยู่ไม่น้อย ที่ตอนบนก็บนได้แต่ตอนจะแก้ก็ลืมเสียงั้นแหละ รู้จักคำว่าติดสินบนไหม ใครที่ติดสินบนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มักจะเกิดเรื่องไม่ดีเสมอและบางรายที่ไปเจอเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เฮี้ยนๆ ก็อาจถึงกับชีวิตได้ ไม่เชื่อก็จงอย่าลบหลู่ ขอเตือนด้วยความหวังดีนะคะ.....
พระฤษีไพรวัน (ไม่มีภาพ)
ตามประวัติของพระฤษีไพรวันนี้ ท่านใจดีมาก มีเมตตาสูง ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ หากเดือดร้อนหรือได้รับความทุกข์ ท่าจะต้องช่วยเหลือทั้งหมดอย่างเสมอภาค โดยมิได้คิดรังเกียจหรือเดียดฉันท์แต่ประการใด ปกติท่านจะจำศีลภาวนาบำเพ็ญตบะ สร้างบารมีอยู่ที่ป่าหิมพานต์โดยตลอดไป ด้วยจิตมุ่งมั่นเคร่งต่อการปฏิบัติ ไม่ตึงไม่หย่อน ชอบสันโดษอยู่แต่ในอาศรมเพียงองค์เดียว...

พระฤษีบรมครูพระพิลาภ(พระฤษีวิราธ)
ณ.ภูเขายอดทองที่มีนามว่า เหมกฏบรรพต ยังมีองค์เทพผู้ยิ่งใหญ่กว่าใครๆในไตรโลกพระองค์ท่านมีพระบารมีมาก และยังเป็นผู้ที่ทรงศีลที่มั่นคงในการบำเพ็ญท่านมีนิสัยรักและห่วงใยมวลมนุษย์เป็นอย่างมาก ชอบช่วยเหลือทุกผู้ทุกนามที่เฝ้าขอพรท่าน แล้วก็จะต้องสำเร็จผลเกือบจะทุกรายแต่ขอให้ผู้ขอนั้นเป็นคนดีที่มีศีลธรรมอยู่ประจำสันดาน มีสัจวาจา มั่นคงท่านก็จะช่วยเหลือเสมอ ตรงข้ามกับคนที่ชอบกระทำความผิดคิดชั่วไม่มีศีลธรรมไม่มีสัจจะ ไม่ละอบายมุข ท่านก็จะ ลงโทษให้ถึงกับย่ำแย่สำหรับรูปกายของท่านผิวเนื้อสีขาว นุ่งห่มผ้าโขมพัสตร์มีลูกประคำสร้อยนวมคอ ถือไม้เท้าคดๆงอๆ เกล้าผมมวยแบบพรามณ์ที่เราท่านทั้งหลายได้เคยเห็นมีหนวดและเคราสีขาวยาวเฟื้อยรุงรังราวกับรังนกกระจาบแต่ว่ามีนิสัยจิตใจดีมากยาก ที่จะหาองค์ใดมาเปรียบเทียบ ในกาลครั้งหนึ่งพระองค์ก็ได้มองเห็นว่าได้มียักษ์อันธพาลเกิดขึ้นมาเที่ยวเบียดเบียนทั้งสามโลกให้ได้รับความเดื่อด ร้อนวุ่นวายและในไม่ช้าองค์พระนารายณ์ก็จะต้องอวตารลงไปปราบจึงคิดหาทางช่วยพระนารายณ์จึงทรงอวตาลลงไป ก่อนแต่พักอยู่เพียงแค่สวรรค์ชั้นที่หนึ่งเท่านั้น(ชั้นจาตุมหาราชิกา)ในเขตของท้าวกุเวรหรือท้าวเวสสุวัน ใช้ชื่อว่า พระฤษีวิราธ ได้บำเพ็ญตบะด้วยความมุ่งมั่นสร้างบารมีให้สูงขึ้น
จนกระทั่งในที่สุดก็มีความสามารถแก่กล้า องค์พระพรหมาจึงเสด็จลงมาประทานพระพรให้อยู่ยงคงกระพันมิให้ต้องตายด้วยอาวุธทั้งหลายทั้งปวงแล้วต่อจากนั้นท่านก็ได้มุ่งมั่นบำเพ็ญติดต่อกันไปอย่างไม่มีสิ้นสุด ในขณะนั้นก็ยังมีนางรัมภาผูเป็นบาทบริจาริกาของท่านท้าวเวสสุวันได้เข้ามาเก็บดอกไม้ผลไม้และเที่ยวไปในป่า ก็ บังเอิญมาพบกับพระฤษีวิราธด้วยไฟราคะอันร้อนเร่าจึงเกิดเป็น ความรักและความต้องการขึ้นมาทั้งสองฝ่ายในทันทีทันใดนั้นเอง(พระฤษีสมัยก่อนนั้นยังสามารถมีภรรยาได้)ทั้งพระฤษีวิราธและนางรัมภาได้ประพฤติผิดในกาม จึงได้ร่วมรักร่วมสังวาสกันด้วยความเต็มใจทั้งสองฝ่ายและยังได้เป็นชู้กันเรื่อยมาอีกเป็นเวลานานแ่ต่ว่าช้างตายทั้งตัวจะเอาใบบัวไปปิดมัน จะมิดได้อย่างไรกันจึงได้ล่วงรู้ไปถึงท้าวเวสสุวันเข้าจนได้เนื่องจากในขบวนการพวกนางที่ได้เป็นข้าบาทบริจารืกาด้วยกันนำเอาเรื่องนี้ไปกราบทูลให้ท่านท้าวเวสสุวันไดทรงทราบจึงทรงพิโรธอย่างสุดที่ยับยั้งเอาไว้ได้ จึงเรียกตัวนางรัมภาเข้ามาสอบสวนทวนพยานค้นหาหลักฐานจนต้อง สารภาพอย่างสิ้นเชิงตามความเป็นจริงทุกอย่างและลงโทษนางในสถานหนักแล้วยังสาปให้พระวิราธต้องกลายเป็นรากษส(ยักษ์)ที่มีความดุร้ายอยู่ภายในป่าทัณฑก เที่ยวอาละวาดจับ สัตว์กินเป็นอาหารจนกว่าจะพบกับองค์นารายณ์อวตาลลงมาเป็นพระรามแล้วให้พระรามฆ่าตายด้วยน้ำมือจึงจะหมดสิ้น เคราะห์กรรมและคำสาปจึงจะได้กลับขึ้นไปอยู่บนสวรรค์เหมือนเดิมอีก พระฤษีวิราธจึงต้องลงมาอยู่ในชั้นดิน มีชื่อว่า ยักษ์พิลาภสำหรับพ่อครูพิลาภหรือพระฤษีพิลาภ(วิราธ)ผู้นี้ ยังได้เป็นพ่อครูใหญ่ที่สุดในวงการศิลปินของไทย ทุกๆประเภท เช่น ครูโขน ครูละครครูลิเก ครูเพลงทรงเรื่อง ครูปี่พาทย์มโหรี ครูแตร ครูอังกะลุงครูหุ่นกระบอก ครูละครเล็กแม้แต่กระทั่งครูตะตั้ว ครูกลองยาวก็จะต้องเป็นศิษย์ของพ่อครูพิลาภทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นงานอะไรของสายศิลปินไทย
จริงๆแล้วไม่มีใครกล้าที่จะลืมอัญเชิญท่านให้มาเป็นประธานทุกครั้งไปหลังจากที่ท้าวเวสสุวันได้สาปให้เป็นยักษ์ที่ดุร้ายท่านก็รอคอยอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาแสนนาน จนกระทั่งองค์พระนารายณ์อวตารมาเป็นพระรามเดินทางเข้ามาในป่าทัณฑกนั้นพญายักษ์พิลาภก็หมายที่จะจับกินเป็นอาหาร จึงได้เกิดการต่อ สู้กันขึ้นแต่ทำอย่างไรพระรามก็ไม่สามารถที่จะฆ่าให้ตายได้ในที่สุดก็ได้หยุดพักไถ่ถาประวัติกันขึ้น แต่ยักษ์พิลาภก็ยังปิดบังไม่ยอมเล่าความจริงให้พระรามฟัง ก็เพราะรู้ว่าเป็นพระรามแต่ก็ยังแอบซ่อนความดีใจเอาไว้อีกด้วย บอกเพียงแต่ว่าท้าวเวสสุวันท่านได้สาปไว้และที่ฆ่าไม่ตายก็เพราะพระพรหมท่านทรงประทานพรไว้จนกว่าจะพบกับพระรามแล้วยอมให้ พระรามฆ่าให้ตายด้วยน้ำมือนั่นแหละจึงจะตายได้สมใจ แล้วได้กลับไปอยู่บนสวรรค์เหมือนเดิมว่าแล้วก็ชี้ทางให้พระรามที่จะเดินทางไปยังกรุงลงกาเพื่อที่จะตามหานางสีดาให้พบแล้วต่อจากนั้นก็ให้พระรามและพระลักษณ์ช่วยกันขุดหลุมให้ลึกแล้วให้ตนเองลงไปในหลุมและให้ฝังตนให้ตายทั้งเป็นจึงได้ตายสมความปรารถนา ในยุคของพระรามนั่นเอง ก็เป็นอันว่าพ่อครูพิลาภได้กลับขึ้นไปเสวยสุขอยู่บนวิมานสวรรค์ตามเดิมแต่ทว่าท่านก็มิได้ทอดทิ้งลูกศิษย์ของท่านที่อยู่ในเมืองมนุษย์กันอีกจำนวนมาก ท่านคอยสอดส่องดูแลช่วยเหลือคุ้มกันปกปักรักษา ได้อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่อดไม่อยากก็เพราะบารมีของท่าน พ่อครูพิลาภ หรือ พระฤษีพิลาภนั่นเองโดยเฉพาะในการจัดงานไหว้ครูของศิลปินก็จะต้องอัญเชิญเศียรพ่อ ครูพิลาภองค์นี้ขึ้นตั้งปูด้วยผ้าขาวเป็นอันดับแรกของบรรดากระบวนเศียรพระฤษีทุกๆพระองค์(ทั้งภาคยักษ์และภาคพระฤษี)...
พระฤษีโกมุท (ไม่มีภาพ)
พระฤษีองค์นี้ท่านมีกำเนิดมาจากเกสรของดอกบัว ที่ผุดขึ้นจากแม่น้ำคงคามหานที ท่านมีบุญญาธิ การอันสูงส่ง ทั้งอิทธิฤทธิ์และบารมีก็ไม่ต้องห่วง ท่านเก่งกาจสามารถมากทั้งคาถาอาคมและเวทมนตร์อันขลังที่มีความศักดิ์สิทธิ์ก็มีมาก ใครๆก็มักจะเดินทางไปศึกษาเล่าเรียนกับพระฤษีองค์นี้กันทั้งนั้นท่านอยู่ที่ในป่าหิมพานต์ นั่งหลับตาภาวนาอยู่ในอาศรมทั้งวัน ท่านผู้อ่านอยากไปพบกับท่านไหมคะ..
การเดินทางไปหาพระฤษีทุกๆพระองค์ที่ในป่าหิมพานต์ ก็จะต้องอาศัยพาหนะพิเศษเพียง 2 ขบวนเท่านั้น คือขาไปหนึ่งขบวน ขากลับอีกหนึ่งขบวน เวลาที่เหมาะแก่การเดินทางคือกลางคืนดึกสงัดเงียบสนิท เมื่อตั้งจิตดีแล้วก็กำหนดลมหายใจเข้าออกช้าๆและลึกๆ พาหนะ 2 ขบวน นั้นก็คือ พุท
โธ นั่นเอง ลมหายใจเข้า พุท ลมหายใจออก โธ ฝึกบ่อยๆเป็นประจำแล้วท่ายจะพบว่าการไปเที่ยวป่าหิมพานต์เพื่อพบกับพระฤษีนั้นไม่ยากอย่างที่คิด.....
พระฤษีสัตบงกฎ (ไม่มีภาพ)
นี่ก็เป็นพระฤษีอีกองค์หนึ่งซึ่งเป็นผู้ปฎิบัติอย่างเคร่งครัดอยู่ในอาศรมชายป่าหิมพานต์ ด้านเชิงเขาสัตบงกฏ ท่านผู้นี้ได้สำเร็จและเป็นผู้วิเศษที่สามารถเข้าฌานและอดอาหารได้ครั้งละเป็นสิบๆปี คงหลับตาภาวนาอยู่อย่างนั้นตลอดไป จนกระทั่งหนวดถึงเข่า เคราถึงนม ผมถึงตีน มองดูแล้วทั้งผมและหนวดเครารกรุงรังราวกับคนบ้า หากใครพบกับท่านก็ต้องเข้าใจอย่างนั้น แต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นใคร และภายในของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ท่านมีบารมีมากคาถาอาคมเวทมนตร์ขลัง ทั้งความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ก็เป็นหนึ่งในขบวนการพระฤษีอิทธิฤทธิ์และปาฏิหารย์ตลอดจนกระทั่งการกระทำ และคำสาปที่เป็นมหาอำนาจอันลึกลับและก็บังเกิดผลที่เกินคาดและคุ้มค่ามากมาย ในบรรดาผู้ที่ได้รู้จักกับพระฤษีองค์นี้ก็มักจะเรียกกันติดปากว่า พระฤษีสัตบงกฏก็เนื่องจากท่านบำเพ็ญตบะอยู่ที่ภูเขาสัตบงกฏ ก็เลยนำเอาชื่อภูเขามาตั้งให้เป็นชื่อของท่าน....
พระพรหมฤษีอคัสตยะ
ในกาลครั้งหนึ่งสมัยเมื่อไตรดายุค พระฤษีอคัสตยะ ได้บำเพ็ญพรตอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง ป่านี้มีความ
กว้างยาวถึง ๑๐๐ โยชน์ แต่ก็เป็นที่แปลกประหลาดที่หามนุษย์และสัตว์ในป่านี้มิได้เลย เป็นป่าที่ปราศ
จากสิ่งมีชีวิต วันหนึ่งพระฤษีได้เที่ยวไปในป่า พบกุฏิร้างอยู่ที่ริมสระใหญ่ภายในป่านั้น พระฤษีอคัสตยะก็เข้าไปอาศัยในอาศรมนั้น พักอยู่คืนหนึ่งพอรุ่งขึ้นเมื่อออกจากฌานแล้วก็จะลงไปสรงน้ำในสระนั้น ก็พบว่ามีศพลอยอยู่ในน้ำ แล้วอีกครู่หนึ่งต่อมาก็มีเทพบุตรขี่รถมายังขอบสระนั้นแล้วลากเอาศพนั้นขึ้นมากินเนื้อหนังจนอิ่มหนำสำราญดีแล้ว เทพบุตรนั้นก็ลงอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด
ด้วยความสงสัย พระฤษีจึงถามเทพบุตรนั้นว่า เพราะอะไรจึงทำเช่นนั้น เทพบุตรก็บอกว่า เมื่อครั้งก่อนตัวเองชื่อว่า เศวต เป็นโอรสของ ท้าวสุเทพ พระราชาผู้ครองนครวิทรรภ เมื่อท้าวสุเทพสิ้น พระชนม์แล้วท้าวเศวตก็ขึ้นเสวยราชย์แทนสืบต่อมา พลังจากขึ้นครองราชย์แล้ว โหรก็ทำนายว่าชะตาถึงฆาต จึงทรงมอบสมบัติให้กับพระอนุชา แล้วก็ออกบวชบำเพ็ญตบะเป็นพระฤษีอยู่ในป่าแห่งนี้อาศัยอยู่ในอาศรมริมสระนั่นแหละจนกระทั่งละสังขาร ได้ขึ้นไปเกิดอยู่ชั้นเทวโลก แต่ถึงจะมีความสุขกายสุขใจแต่ก็ยังมิวายที่จะหิว จึงต้องขึ้นไปถามพระพรหมมา ท่านก็แนะนำว่าเรื่องนี้เป็นเพราะว่าเคร่งต่อการปฏิบัติอย่างเดียวเป็นแต่เพียงมุ่งทรมานร่างกายมิได้บำเพ็ญในสิ่งที่เป็นทานบารมี จึงมิได้อิ่มทิพย์เหมือนเทวดาองค์อื่นๆ ก็จะต้องกินเนื้อของตัวเองต่อไป จนกว่าว่าเมื่อใดจะพบกับพระพรหมอคัสตยะแล้วทำการทักษิณาด้วยอาภรณ์แล้ว เมื่อนั้นแหละจึงจะพ้นทุกข์ได้เสวยทิพย์
พอพระเศวตเทพบุตรเล่าเรื่องจบแล้วก็เปลื้องอาภรณืออกมาทำการทักษิณาแด่พระพรหมฤษีอคัสตยะ พระฤษีก็รับอาภรณ์นั้น ก็เป็นว่าพระเศวตสิ้นกรรมได้ไปเสวยทิพย์ในเทวโลกโดยสมบูรณ์ตลอดไป ส่วนพระพรหมฤษีอคัสตยะ จะต้องบำเพ็ญตบะที่อาศรมแห่งนั้นไปจนกว่าองค์พระนารายณ์จะอวตารลงมาเป็นพระรามแล้วเดินทางมาถึงอาศรมนั้น พระฤษีทำการทักษิณาแด่พระรามแล้ว นั่นแหละ พระฤษีก็จะสิ้นกรรมกลับขึ้นไปเสวยทิพย์ในชั้นพรหมโลกเช่นเดียวกันดังเรื่องราวที่เป็นตำนานสืบทอดต่อเนื่องกันมา ประวัติของพระฤษีแต่ละองค์ ท่านก็จะมีลีลาและหน้าที่ไม่เหมือนกัน เพราะเหตุที่พระฤษีมีกันอยู่มากมาย ยากที่จะเรียงลำดับรายชื่อได้ จึงจัดแบ่งแยกออกมาแต่ละชั้นเพื่อจะได้ไม่จำซ้ำซ้อนกัน คือ......
๑.พระฤษีในชั้นพรหม จะเป็นแต่เพียงพรหมฤษี
๒.พระฤษีในชั้นเทพ จะเป็นเพียงเทพฤษี
๓.พระฤษีในชั้นดิน ก็จะเป็นเพียงมนุษย์ฤษี
แต่ละชั้นจะไม่มีการปนเปกัน จึงต้องจัดแบ่งแยกให้อธิบายง่ายเข้า สำหรับพระฤษีในชั้นพรหมนั้นมิใช่ มีเพียงเท่านี้ ยังมีอีกหลายล้านหลายโกฏิพระองค์ จึงได้บอกว่า พระพรหมในพรหมโลกมักจะเป็นพระ
ฤษีแทบทั้งสิ้น เพราะว่าพระพรหมท่านเป็นผู้ปฏิบัติ ในบารมีฌานกันทุกพระองค์ ดังนั้นจึงต้องคัดเลือก เอาแต่เพียงองค์ที่มีประวัติเท่านั้นที่จะนำเอามาเล่า ท่านผู้อ่านก็คงพอจะเข้าใจนะคะ.......

พระดาบสสินี ฤษีหน้ากวาง(สีดา)
พระฤษีองค์นี้เป็นผู้หญิง มิใช่ฤษีปิตน จำเดิมแต่พระรามฆ่าทศกัณฑ์แล้ว ก็รับนางสีดามาอยู่ในอยุทธยาแล้ว นางอดูล ปีศาจ เป็นญาติกับทศกัณฑ์ ซึ่งนางก็มีใจเจ็บแค้นพระรามกับนางสีดา จึงได้แปลงกายเป็นนางงามเข้ามาถวายตัวเป็นข้าช่วงใช้นางสีดา ครั้นแล้วก็หาอุบายให้นางวาดรูปทศกัณฑ์จนกระทั่งพระรามมาเห็นเข้าก็โกรธ สั่งให้พระลักษณ์นำเอานางสีดาไปประหารแล้วควักเอาดวงใจมาให้ดู พระลักษณ์ฟันด้วยพระขรรค์ก็บังเกิดเป็นพวงดอกไม้ทิพย์คล้องคอนางสีดาพระลักษณ์จึงปล่อยนางสีดาไป พระอินทร์ได้เนรมิตเนื้อทรายนอนตายให้พระลักษณ์ควักเอาดวงใจไปถวายพระราม แล้วพระอินทร์ก็ยังแปลงกายเป็นมหิงส์(ควาย) ให้นางสีดาทรงขี่ไป จนกระทั่งถึงอาศรมพระฤษีวัชมฤค(คือพระฤษีวาลมีกิหรือพระฤษีหน้าวัว) พระฤษีทราบเรื่องแล้วจึงให้สีดา ได้ถือเพศเป็นดาบสสินีโดยปลอมแปลงกำบังกายให้เป็นพระฤษีหน้ากวาง เพื่อป้องกันอันตราย จนกระทั่งนางสีดาคลอดพระโอรสคือ พระกุศ(หรือพระมงกุฎในรามเกียรติ์) แล้วจึงฝากให้พระฤษีวาลมีกิเลี้ยงเอาไว้ในอาศรม นางก็ไปบำเพ็ญตบะอีกทางหนึ่งครั้นอยู่มาวันหนึ่ง นางสีดาจะไปอาบน้ำก็ได้พบกับลิงแม่ลูกอ่อนอุ้มลูกให้เกาะกระโดดจากกิ่งไม้มากิ่งไม้นี้ นางสีดาก็หวังดีจึงร้องบอกนางลิงว่าให้ระวังลูกจะตก นางลิงก็บอกว่าลูกที่อยู่ใกลัแม่ถึงจะอย่างไรก็ยังช่วยได้ทันและยังเห็นอยู่ตลอดเวลาว่าลูกจะเป็นอะไร แต่ส่วนนางสีดานั่นสิฝากลูกเอาไว้กับพระฤษี ห่างไกลสายตาของผู้เป็นแม่ลูกจะเป็นอะไรก็ไม่มีโอกาสได้รู้ได้เห็น ก็พระฤษีท่านมัวแต่หลับตาภาวนาอยู่ หากว่าสัตว์ร้ายมาคาบเอาลูกไปกินแล้วใครจะเป็นผู้รู้เห็น
นางสีดาได้ยินนางลิงว่าเช่นนั้นก็เห็นว่าจริงของนางลิง จึงเกิดเป็นห่วงลูกขึ้นมา นางจึงกลับไปยังอาศรมพระฤษีแล้วอุ้มเอาลูกชายมาอาบน้ำด้วย เหตุที่พระฤษีมัวแต่นั่งหลับตา ท่านจึงไม่เห็นและก็ไม่รู้ว่านางสีดาได้มาอุ้มเอาลูกของนางไปแล้ว
ครั้นพระฤษีวาลมีกิได้ออกจากฌานลืมตาขึ้นมาแล้วก็มองหาพระกุศไม่พบ ถึงแม้จะเที่ยวตามหาจนทั่วบริเวณอาศรมก็ไม่เห็นแม้แต่เงา พระฤษีตกใจมาก ท่านคิดว่าสัตว์ร้ายจะต้องย่องเข้ามาคาบเอาพระกุมารไปกินเป็นแน่แท้ ก็คิดกลัวว่านางสีดาจะมาหาว่าท่านทำลูกของนางหาย จะรอช้าไม่ได้แล้วรีบจัดตั้งเครื่องพิธีจะชุบกุมารขึ้นมาแทนพระกุศ โดยการวาดรูปกุมารให้เหมือนแล้วจะได้ทำการชุบด้วยพระคาถาต่อไป พอดีพระฤษีวาดรูปเสร็จยังมิทันได้เสกคาถา นางสีดาก็อุ้มลูกขึ้นมาบนอาศรมนางสีดาเห็นว่ารูปที่พระฤษีวาดขึ้นมานั้นมีความสวยงามน่ารักมาก พระฤษีพอรู้ว่าพระกุศไม่ได้หายไป
ไหนก็ดีใจจะทำการลบรูปพระกุมารที่เขียนนั่นเสีย นางสีดาก็ไม่ยอมให้ลบ ขอร้องให้พระฤษีชุบขึ้นมาจะได้เป็นเพื่อนเล่นกับพระกุศ พระฤษีก็ตามใจนางสีดา จึงทำการชุบกุมารนั้นขึ้นมา รูปร่างหน้าตาเป็น
พิมพ์เดียวกันกับพระกุศ ให้ชื่อว่า ลบนี่คือประวัติความเป็นมาของดาบสสินีหน้ากวาง.....

พระฤษีนารอด
พระฤษีนารอด ท่านเป็นหมอยาที่มีคาถาอาคมเก่งกล้า ทั้งยังเป็นอาจารย์รดน้ำมนต์ที่เก่งที่สุดอีกด้วยท่านมีบารมีมาก ปวงชนทั่วไปก็มักจะรู้จักพระนามของท่านแทบทั้งนั้น รูปร่างหน้าตาของท่านก็ยังมีหนวดเครายาวลงมาจากคางถึงในระหว่างอกมือถือดอกบัว ตรงด้านหน้ามีบาตรน้ำมนตร์ตั้งอยู่เป็นประจำ เก่งในทางรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ชงัดนักแล ถ้าหากผู้ใดมีความทุกข์ที่เกี่ยวกับการเจ็บไข้ได้ป่วย ก็จงบนบานศาลกล่าวกับท่านดูแล้ว ท่านก็จะต้องเมตตาเสด็จลงมาปัดเป่ารักษาให้โรคภัยนั้นหายไปในเร็ววันมักจะมีคนพูดกันทั่วไปว่า พระฤษีนารอดเป็นพี่ชายของ พระฤษีนารายณ์แต่บำเพ็ญพรตกันอยู่คนละแห่ง นานๆจึงจะได้พบกันสักครั้งหนึ่ง แต่เรื่องนี้มีความคลาดเคลื่อนอยู่ ที่จริงแล้วผู้ที่เป็นน้องชายของพระฤษีนารอดก็ คือ พระฤษีนาเรศร์ มิใช่พระฤษีนารายณ์ ที่ถูกต้องก็คือ พระฤษีนาเรศร์ นี่แหละที่เป็นน้องชายแท้ๆของ พระฤษีนารอด และก็ได้บำเพ็ญตบะอย่างมุ่งมั่นอยู่กันคนละแห่ง สำหรับพระฤษีนาเรศร์นี้ ท่านเก่งในคาถาอาคมศักดิ์สิทธิ์มีเวทมนตร์ขลังเป็นที่สุด ชอบสันโดษบำเพ็ญพรตอยู่แต่ในป่าลึกๆ ไม่ค่อยชอบสมาคมกับใครเท่าใดนัก แม้แต่พี่น้องกันแท้ๆ ยังนานๆได้พบกันที พอพบกันก็จะดีใจถึงกับกอดกันแน่นด้วยความปลื้มปิติยินดี
ท่านที่กราบไหว้บูชาพระฤษีสององค์พี่น้องก็จะเป็นมงคลอันสูง ท่านก็จะได้แผ่บารมีแห่งความเมตตามายังท่าน มาป้องปัดบำบัดรักษา และคุ้มครองมิให้โรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนตลอดกาล....
พระฤษีนารอดสวมเทริดฤษี ยอดบายศรีลายหนังเสือ เป็นพระฤษีที่บำเพ็ญพรตอยู่ที่เชิงเขาโสฬสนอกกรุงลงกา เมื่อครั้งหนุมานไปถวายแหวนนางสีดา เหาะเลยกรุงลงกาไปจึงไปพบพระฤษีนารอด(ฤษีนารท) โดยบังเอิญ แล้วต่อสู้กัน หนุมานแพ้จึงยอมอ่อนน้อมให้พระฤษี และเมื่อครั้งหนุมานเผากรุงลงกาไฟที่ติดหางดับไม่ได้ พระฤษีนารอดจึงดับให้....
พระฤษีกาลสิทธิ (ไม่มีภาพ)
สำหรับพระฤษีองค์นี้จงใช้ความสังเกตุให้ดี ที่ว่ามีชื่อเหมือนกับพระฤษีหน้าเสือกาลสิทธิ์ ผิดกันที่ตรงการันต์เท่านั้น ท่านก็เป็นผู้้มีความศักดิ์สิทธิ์อีกองค์หนึ่ง ประวัติเดิมของท่านเป็นถึงวงศ์พรหม ได้ลงมาจำศีลภาวนา อยู่ที่ภูเขาที่มีรังกากายสิทธิ์อยู่บนยอดเขา แลัวต่อมาก็สร้างเมืองใหม่ในบริเวณภูเขานั้น และเปลี่ยนจากชื่อรังกากายสิทธิ์มาเป็น เมืองลงกา จนกระทั่งตกทอดมาจนถึงชั้นทศกัณฑ์ พระฤษีกายสิทธิก็ไม่ยอมโยกย้ายไปไหน ยังคงบำเพ็ญตบะอยู่ที่เดิมมาเป็นเวลาหลายพันปี ในบรรดาอสูรทั้งหลายต่างมีความเคารพท่านมาก แม้แต่ทศกัณฑ์เองก็มีความเคารพ จึงมีความเป็นอยู่ที่นั่นตลอดไปพระฤษีกาลสิทธินี้ ท่านมีอานุภาพมากมีคาถาอาคมวิเศษและศักสิทธิ์มาก มีทั้งอิทธิฤทธิ์และปาฏิหารย์จนกระทั่งเป็นที่เลื่อมใสกันทั่วไปและต่างก็มีความเกรงกลัวในบารมีและฤทธิ์เดชของท่านไม่มีผู้ใดกล้าไปรบกวนหรือองของกับท่านเลย เมื่อพระนารายณ์อวตารลงมาแล้ว เป็นพระรามยกกองทัพมาตั้งอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์ทศกัณฑ์ยังได้อ่านพระเวทย์อันศักดิ์สิทธิ์นี้ไปอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์เพื่อเกลี้ยกล่อมให้พระรามเลิกทัพกลับไป ในครั้งนั้นพระอินทร์ได้ใช้ให้พระวิศกรรม(วิศนุกรรม) ลงมานิมิตสุวรรณพลับพลาไว้ที่ภูเขาคันธมาทน์นั้นเพื่อที่จะให้พระรามและพระลักษณ์ เมื่อลาเพศจากพระฤษีจะได้มาพักอาศัยอยู่ที่นั่น และทศกัณฑ์ในร่างของพระฤษีกาลสิทธิก็หวังจะมาลวงพระราม บอกว่านางสีดาเมื่อถูกยักษ์ลักพาตัวเอาไป ไหนเลยจะมีความบริสุทธิ์เหมือนเดิมอีกคงจะแหลกเหลวแน่ๆแต่พระรามมีความมั่นใจ อธิบายให้พระฤษีปลอมนั้นฟังว่า อันนางสีดานั้นคือพระลักษมีอวตารลงมาเกิด ถึงแม้จะตกน้ำก็ไม่ไหล ตกในกองไฟก็ไม่ไหม้ และจะไม่มีราคีในสิ่งที่จะทำให้มัวหมอง ดังนั้นจึงจะต้องอยู่เพื่อฆ่ายักษ์ให้ได้ให้ยักษ์ตายกันหมดแล้วนั่นแหละจึงจะยกกองทัพกลับไป ฝ่ายภิเภกนั้นรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ครั้นจะทูลให้พระรามทรงทราบว่านั่นคือพระฤษีปลอม แต่ก็ถูกทศกัณฑ์สะกดตรึงเอาไว้ จึงพูดอะไรไม่ได้ เพราะอ้าปากไม่ขึ้นจึงเฉยไว้พระฤษีปลอมก็ยังตื๊อที่จะให้พระรามยกทัพกลับให้ได้ จนกระทั่งเหล่าสวาวานรพากันสงสัย บันดาลให้มีความโกรธหมายที่จะกระโดดเข้าไปฆ่าเสีย พระรามพระลักษณ์ก็ได้ห้ามเอาไว้ ฤษีจำแลงจึงกลัวความลับจะแตกก็ต้องจำลาพระรามนั้นกลับไป.....
พระฤษีกาลสิทธิ สวมชฎาดอกลำโพงสีกลีบบัว (ฤษีทศกัณฐ์แปลงกายเข้ามาในกองทัพพระรามเพื่อมาดูลาดเลา) พระฤษีกาลสิทธิ สวมชฎาดอกลำโพงสีดำ นุ่งห่มหนังเสือ (ฤษีทศกัณฐ์แปลงกายเมื่อตอนอยู่เขาคันธมาทน์)