
พระฤษีพรหมโลกา
ท่านผู้นี้ก็เป็นผู้ที่มีอาคมอันแก่กล้าและศักดิ์สิทธิ์ มีทั้งฤทธิ์เดชและอำนาจมาก โดยการหายตัวและดำดิน(แทรกแผ่นดิน)ได้ เป็นผู้ที่เคร่งในการปฏิบัติอีกท่านหนึ่ง เมื่อแรกเริ่มเดิมที ท่านก็เป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน เป็นพระฤษีธรรมดา ที่เคร่งครัดปฏิบัติ บำเพ็ญธรรมประโยชน์ สร้างตบะบารมีอย่างแน่วแน่ จนกระทั่งค้นพบพระอาคมอันมหาวิเศษ จึงมีอำนาจมากเพียบพร้อมไปด้วยอิทธฤทธิ์และบุญฤทธิ์ ยากที่จะหาผู้ใดเทียบเทียมได้ แล้วในที่สุด เมื่อถึงกาลกิริยาจากโลกมนุษย์แล้ว จึงได้ไปบังเกิดเป็นพระพรหมอยู่บนวิมานพรหมโลก แต่ก็ยังมิได้หยุดหย่อนลงไปแต่เพียงเท่านั้น ท่านยังใช้ความเพียรพยายามเร่งสร้างตบะธรรมอันเป็นบารมีต่อไปอีก หวังว่าจะได้สูงขึ้นไปอีก ในด้านภูมิธรรม ท่านจึงได้รับฉายานามว่า พระฤษีพรหมโลกา...
พระฤษีเพชรฉลูกัณฑ์
ท่านเป็นอีกผู้หนึ่งที่มีฤทธาศักดานุภาพมาก และมีบารมีสูงส่งเพียบพร้อมไปด้วยเมตตาธรรมเป็นที่รักของมวลมนุษย์ทั่วไป นอกจากนั้นท่านยังมีความสามารถในการร่ายรำและในการแสดงต่างๆ เป็นอย่างดีตลอดจนในด้านดีดสีตีเป่าท่านก็มีความเชี่ยวชาญ มีความดีเด่นเป็นหนึ่งตลอดมามิใช่เพียงแค่
แสดงหากท่านยังได้ประดิษฐ์คิดท่าทางในลีลาของ การร่ายรำและการแสดงต่างๆ ตลอดจนกระทั่งทำนองเพลงในการดีดสีตีเป่าท่านก็คิดขึ้นมาทำเป็นตำราเอาไว้เพื่อที่จะได้ถ่ายทอดไว้ให้พวกเราได้ศึกษา แล้วเก็บเป็นสมบัติติดตัวเพื่อเป็นเครื่องมือ ในการทำมาหากินสืบไป
พระฤษีเพชรฉลูกัณฑ์ ท่านมีความสามารถในด้านทางศิลปินมากอีกพระองค์หนึ่ง...
พระฤษีประโคนธรรพ
ท่านนี้เดิมเป็นเพียงคนธรรพ์ เป็นนักดีดพิณฝีมือเอกบนสวรรค์มีความสามารถเป็นที่หนึ่งในนามของปัญจสิขรณ์ นอกจากนั้นท่านยังได้ให้วิชาในทางศิลปินของท่านถ่ายทอดมาให้กับพวกเราเอาไว้ใช้บรรเลงและในการแสดงอีกด้วย ในวงการศิลปินจึงมีความเคารพนับถือกันโดยทั่วไป ทำการกราบไหว้บูชากันเป็นเนืองนิตย์ ในนามของพ่อครู ปัญจสิขรณ์ และก็มีชื่อให้เรียกกันตั้งแต่สมัยนั้นอีกชื่อหนึ่งคือ พระคนธรรพ์ ครั้นต่อๆมาก็มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการเรียกเพี้ยนกันออกไป กลายเป็นพระประโคนธรรพ์ และมาในปัจจุบันนี้ตัวการัน หายไปเลยกลายเป็น พระประโคนธรรพ จนถึงทุกวัน
แต่ขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดเข้าใจเถิดว่าจะเป็นชื่ออะไร ผิดเพี้ยนไปอย่างใด แต่ก็เป็นองค์เดียวกันนั่นเอง...
พระฤษีปัญญาสด (ไม่มีภาพ)
พระฤษีองค์นี้เป็นเทพบุตรรูปหล่อที่สุด แต่รักในการบำเพ็ญบารมี มีความสามารถพิเศษในด้านปัญญาและความทรงจำและยังชอบประดิษฐ์เพลง เนื้อเพลง การขับร้อง ต่างๆ ทั้งในทางร้องและทำนองรำได้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็นกลอนสดหรือกลอนด้น ในสารพัดกระบวนเพลง จึงเป็นที่รู้จักและยกย่องกันโดยทั่วไปสำหรับในวงค์เทพและท่านยังมีหน้าที่พิเศษคือ เมื่อครบ ๗ วัน พระฤษีปัญญาสดจะต้องขึ้นไปเฝ้าพระอิศวรผู้เป็นเจ้าสวรรค์ประดิษฐ์เนื้อร้องทำนองเพลงที่ไพเราะแล้วขับร้องเป็นกลอนสดถวายแด่องค์พระอิศวร จึงเป็นที่โปรดปรานขององค์พระอิศวร และเทพเทวดานางฟ้าบนสวรรค์ ทั้งอิทธิฤทธิ์และอภินิหารของท่านก็นับว่ายอดเยี่ยม ทั้งยังมีเมตตาธรรมลงมาทำการอบรมสั่งสอนให้ชาวโลกมนุษย์รู้จักร้องรำทำเพลง เป็นการขับกล่อมต่อเนื่องกันมา จึงนับได้ว่าท่านมีพระคุณต่อชาวโลก ที่ทา่นได้สร้างสรรค์ในสิ่งแปลกใหม่ ให้มีเสียงเพลงเข้ามาค้ำจุนโลก ทำให้โลกสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นอีกมาก เราจึงไม่ควรลืมท่าน ควรเคารพกราบไหว้ท่านเสมอๆ จึงจะสมควรกับคุณงามความดีของท่าน....
พระฤษีอังคต (ไม่มีภาพ)
พระฤษีองค์นี้ก็เป็นผู้บำเพ็ญตบะธรรมได้เชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นอาจารย์ของพาลี กษัตริย์ผู้ครอบครองเมืองกีดกินษ์นคร(เป็นบุตรของพระอินทร์) ในกาลครั้งหนึ่ง หลังจากท้าววิรุฬหกถอดสังวาลย์นาค ฟาดตุ๊กแกสารภูตาย แล้วเขาไกรลาสก็ทรุดเอียง ทศกัณฑ์มาชลอให้ตั้งตรงได้ก็ขอพระอุมาเอาไป
หมายจะได้เป็นชายา แต่พระนารายณ์หาอุบายลงมาขัดจังหวะ จนกระทั่งทศกัณฑ์ต้องนำพระอุมาไปคืน แล้วจึงทูลขอ นางมณโฑ (มณฑก) พระอิศวรก็ประทานให้ทศกัณฑ์จึงอุ้มนางมณโฑเหาะไป ก็บังเอิญพาลีเห็นเข้าก็จึงโกรธ โดยหาว่าพาผู้หญิงเหาะข้ามหัว จึงขว้างพระขรรค์เหาะขึ้นไป
สู้รบกับทศกัณฑ์ แล้วแย่งเอานางมณโฑไปได้ต่อมาทศกัณฑ์ก็ไปหาพระฤษีผู้ที่เป็นอาจารย์ให้ช่วยส่วนพระอาจารย์ก็แนะนำให้ไปหาพระฤษีอังคต ในที่สุดพระฤษีอังคตก็เกลี้ยกล่อมให้พาลีคืนนางมณโฑ แต่ในขณะนั้นนางมณโฑได้ตั้งครรภ์ถึง ๗ เดือน ยังไม่ครบกำหนดคลอด พระฤษีจึงทำพิธีใช้คาถาสะเดาะเอาลูกในท้องของนางมณโฑออก แล้วนำไปฝากไว้ในท้องแพะ แล้วพาลีก็ส่งนางมณโฑคืนให้กับทศกัณฑ์ไป เมื่อครบกำหนดพระฤษีก็แหวะท้องแพะเอาทารกนั้นออกมา มีรูปร่างเป็นลิงเหมือนพ่อกายมีสีเขียวเหมือนพ่อแต่ทว่ามีฤทธิ์มาก พระฤษีจึงตั้งชื่อให้คล้ายกับท่านเองว่า องคตนี่คือประวัติดั้งเดิมของพระฤษีอังคต ท่านมีความเก่งกล้าสามารถมาก
พระฤษีอรรคต (ไม่มีภาพ)
พระฤษีองค์นี้ได้บำเพ็ญตบะสร้างบารมีอยู่ในดินแดนเขตติดต่อกันกับป่าทัณฑก ท่านก็มีอิทธานุภาพ ไม่เกรงกลัวใครเช่นเดียวกัน ชอบสันโดษจึงได้มาบำเพ็ญอยู่ในป่าลึกเช่นนี้ และท่านก็ยังมีหน้าที่ซึ่งพระอิศวรได้มอบหมาย ให้ท่านเป็นผู้เก็บรักษาเกราะทิพย์เอาไว้ จนกระทั่งถึงสมัยของพระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระราม เดินทางผ่านมาทางอาศรมก็ให้พระฤษีนำเอาเกราะทิพย์อันนี้ถวายให้กับองค์พระราม เพื่อจะได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้ป้องกันตัวในการปราบปรามยักษ์ตรีบูรัม...
พระฤษีอรรคต หรือ อังคตะ หรือ อัตคต หรือ อคัต สวมชฎาดอกสีลำโพงสีกรัก...

พระฤษีหิมพานต์
คือ พระหิมวัต พ่อตาของพระอิศวรนั่นเอง พระชายาชื่อ นางเมนา หรือ เมนกา นั่นเอง มีพระธิดาคือ พระคงคาและพระอุมา พระฤษีผู้นี้เป็นผู้มากด้วยพระบารมี มีจิตใจเยือกเย็น มีเมตตาธรรมสูง ไม่ชอบยุ่งกับเรื่องของผู้อื่น แต่ชอบช่วยเหลือเกื้อกูลสำหรับผู้ได้รับความเดือดร้อนมีแต่ให้มิใช่ผู้ขอ ท่านบำเพ็ญตบะธรรมชั้นสูงอยู่ในป่าหิมพานต์ แถบเทือกเขาหิมาลัย ถ้าหากคิดจะไปหาเพื่อเป็นการเยี่ยมเยือนและนมัสการท่านก็เชิญได้ที่อาศรมของท่าน วิธีนั้นง่ายมากเพียงแต่่ตั้งจิตให้มั่นแล้วภาวนาคำว่า
' พุทโธพุทโธพุทโธ '..ทำจิต ให้สงบ ไม่ช้าท่านก็จะได้พบกับพระฤษีหิมพานต์...

พระฤษีทุรวาส
พระฤษีองค์ก็เป็นอีกองค์หนึ่งที่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปต่อกรและรบกวนท่าน ก็เพราะว่าท่านมีอิทธิฤทธิ์มากมายทั้งคาถาและวาจาประกาศิต ถ้าหากใครดีกับท่านแล้วท่านก็จะส่งเสริมตลอดไปแต่หากท่านลองโกรธผู้ใดแล้วไม่ว่าผู้นั้นจะมีฤทธิ์เดชสักเพียงใด ก็ยังไม่สามารถสู้ฤทธิ์เดชของท่านได้เลยไม่ว่าจะเป็นเทวดาหรือว่าพระิอินทร์ก็จะต้องพากันหน้าแตกไปตามๆกัน เพราะไม่สามารถที่จะป้องกันในฤทธิ์เดชของท่านได้
อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อท่านได้ออกจากฌานแล้ว ท่านก็เข้าไปในป่าหิมพานต์เพื่อจะหาอาหารและผลไม้ บังเอิญได้พบเทพธิดาที่สวยงามนางหนึ่ง นางได้นำพวงมาลัยที่ร้อยด้วยดอกไม้สดจากสวรรค์นำมาถวายองค์พระฤษีทุรวาส พระฤษีก็รับพวงมาลัยนั้นมาแล้วนางฟ้าก็ลากลับไป
พระฤษีก็สดชื่นแจ่มใสที่พวงมาลัยดอกไม้สดนั้นส่งกลิ่นหอมอบอวล ไม่มีดอกไม้ในโลกที่จะเปรียบเทียบในกลิ่นหอมของดอกไม้จากสวรรค์นี้ได้ แล้วในที่สุดกลิ่นหอมของดอกไม้นั้นก็เริ่มออกฤทธิ์ทำให้มีอาการคลุ้มคลั่ง เที่ยวร้องเพลงและเต้นรำไปในอากาศอย่างสนุกสนาน โดยมิได้รู้สึกตน
เองเลยสักนิดเดียว ในขณะที่พระฤษีเต้นๆรำๆ และร้องเพลงเหาะมาในอากาศนั้น ก็บังเอิญพระอินทร์ได้ทรงช้างผ่านมาทางนั้นและก็พบกับพระฤษีพอดี เมื่อพระฤษีขณะคลั่งไคล้ใหลหลงลืมตัวอยู่นั้นเห็นพระอินทร์ก็จำได้ จึงได้ถวายพวงมาลัยดอกไม้สดพวงนั้นให้กับพระอินทร์ พระอินทร์ก็รับด้วยความเต็มใจ แล้วจึงนำเอามาวางไว้บนหัวช้างเอราวัณ เมื่อช้างเอราวัณได้กลิ่นดอกไม้นั้นแล้ว ก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งเช่นเดียวกับพระฤษี จึงเอางวงจับพวงมาลัยนั้นมากระทืบๆ จนพวงมาลัยนั้นแหลกไม่มีชิ้นดี
ฝ่ายพระฤษีทุรวาสเห็นเช่นนั้นแล้วก็โกรธ เข้าใจว่าพระอินทร์ดูถูกและเหยียดหยามจึงได้เอาดอกไม้นั้นไปให้ช้างกระทืบเล่น ด้วยความโกรธจนตาแดงก่ำ เลยสาปให้พระอินทร์และเทวดาที่ร่วมมาด้วย มิหนำซ้ำยังส่งคำสาปไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ให้พระิอินทร์และเทวดาถอยกำลังมีฤทธิ์น้อย
ลงไป เมื่อใดที่จะต้องมีการสู้รบกับพวกอสูร ทั้งพระอินทร์และเทวดาก็จะต้องพ่ายแพ้กับอสูรย์อย่างยับเยิน ทั้งพระอินทร์และเทวดาก็พากันตกใจอ้อนวอนและขอโทษกับพระฤษี เพราะว่ามิได้มีเจตนาเช่นนั้น เป็นความผิดของช้างต่างหากที่ได้กระทำลงไปเช่นนั้น
พระฤษีทุรวาสก็ไม่ฟังเสียงโดยอ้างว่า เป็นพระอินทร์ทำไมบังคับช้างไม่ได้ พระฤษีก็ไม่ยอมให้อภัยใดๆทั้งสิ้น ว่าแล้วก็เหาะจากไปจากที่นั้นโดยเร็ว นับแต่บัดนั้นมาทั้งพระอินทร์และเทวดาจึงไม่มีฤทธิ์เหมือดังแต่ก่อน เมื่อเกิดสงครามกับพวกอสูรทุกครั้ง จะต้องพ่ายแพ้แก่พวกอสูรทุกครั้งไป
ต่อจากนั้นพระนารายณ์จึงคิดแก้ไขให้มีการกวนน้ำอมฤตกันขึ้นมา เพื่อจะให้พระอินทร์และเทวดาได้ดื่มกัน เพื่อจะได้มีฤทธิ์เหมือนดังเดิม
ก็นับได้ว่าพระฤษีทุรวาสองค์นี้ก็เป็นหนึ่งที่ควรจะรู้จักท่านเอาไว้.....

พระฤษีนนทิ
สำหรับพระองค์นี้ก็เป็นเทวดาที่รูปหล่อ แต่มีความสำคัญในวงการศิลปินเกี่ยวข้องกับการเป็นครูบาอาจารย์ เช่นเดียวกับพระฤษีที่มวลมนุษย์เราได้มีจิตผูกพัน และทำการเคารพกราบไหว้บูชาเพราะถือว่าท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่มีพระคุณกับนักแสดง และนักดนตรีไม่น้อยเลยทีเดียว ก็เพราะวิชาการแสดงและดนตรีไทยนั้นท่านก็ได้ถ่ายทอดหลักวิชาในตำแหน่งหนัาที่ของท่านที่มีความชำนาญ ในด้านการแสดงและร้องรำทำเพลงตลอดจนกระทั่งหน้าทับตะโพน และไม้กลองในเพลงต่างๆที่มีลีลาในทำนองเพลงแต่ละเพลงไม่เหมือนกัน นั่นแหละเป็นวิชาการของท่านทั้งนั้น
สำหรับประวัติที่สำคัญของพระนนทินี้ ท่านเป็นนักตีหน้าหนัง เช่น กลองตะโพน กลองแขก(กลองคู่ หรือ กลองมลายู) และประเภทเครื่องกลองที่ขึงด้วยหนังทั่วๆไปทุกชนิดท่านมีลีลาและฝี มือดีตีเก่งมากทีเดียว รับรองว่าใครๆที่ว่าเก่งก็ยังสู้ท่านไม่ได้ และท่านก็ยังเก่งในเรื่องบทกลอนและทำนองเพลงอีกด้วยตีไปร้องไปในขณะเดียวกันได้อย่างทะมัดทะแมงและแคล่วคล่องว่องไว ด้วยความชำนาญอย่างเห็นได้ชัด

ท่านมีหน้าที่เป็นนักดนตรีประจำพระองค์ขององค์พระอิศวรผู้เป็นเจ้าสวรรค์ ไม่ว่าจะมีงานใดๆ ในสวรรค์ท่านก็จะต้องได้รับเชิญให้ขึ้นไปทำหน้าที่บรรเลง และแสดงทุกครั้งที่ชาวสวรรค์ได้จัดขึ้นมาในทุกๆชั้น ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์ชั้นใดๆ ก็จะต้องไปทั้งนั้น กิตติศัพท์และเกียรติคุณของท่านโด่งดังและขจรขจายไปไกลแสนไกลไม่ว่าจะเป็น เทวโลก พรหมโลก หรือโลกมนุษย์ ก็ย่อมจะต้องรู้จักพระนนทิกันได้ดี และยังมีหน้าที่อีกอย่างหนึ่งในขณะที่พระอิศวรเสด็จไปไหนๆ พระนนทิผู้นี้ ก็จะต้องแปลงกายเป็นโคเผือก คือ โคอุศุภราช หรือ อุศุราราย์ ในทุกๆครั้ง เพื่อเป็นพาหนะทรงสำหรับประจำพระองค์ของพระอิศวร
สำหรับนักดนตรีหรือนักแสดง ก็ควารที่จะหมั่นกราบไหว้บูชาและระลึกถึงในฐานะที่ท่านเป็นครูผู้แรกเริ่มถ่ายทอดวิชามาให้พวกเราได้หากินกัน..อีกผู้หนึ่ง....
พระฤษีรามเทพมุนี (ไม่มีภาพ)
พระฤษีองค์นี้ก็มีเวทย์มนต์ และอาคมขลังศักดิ์สิทธิ์มากเช่นกัน เมื่อครั้งที่ท้าวทศรถคิดใคร่ทำพิธี
อัศวเมธ(ปล่อยม้าอุปการ บูชายันต์ด้วยม้า) ก็ได้เชิญพระวสิษฐ์มหาฤษีมาเป็นปุโรหิต อำนวยการใน
พิธีครั้งนั้น และก็ยังได้อัญเชิญพระฤษีรามเทพมุนีองค์นี้มาเป็นผู้ช่วยปุโรหิต ในการบวงสรวงขอพระ
โอรสในพิธีครั้งนั้นด้วย แล้วในที่สุด พระนารายณ์จึงอวตารลงมาเป็นพระราม โดยเกิดมาเป็นโอรสของ
ท้าวทศรถในภายหลัง สำเร็จตามความมุ่งมาตรปรารถนาทุกประการ....
พระฤษีสิงหล (ไม่มีภาพ)
พระฤษีองค์นี้เป็นเทวดาที่ชอบปฏิบัติธรรมกรรมฐานเป็นที่ตั้ง ด้วยจิตใจที่ปราศจากความยินดี
ทั้งหลายทั้งปวง ในสิ่งที่เป็นสมบัตินอกกาย หวังที่จะเสริมสร้างด้วยความมุ่งมั่นมานะพากเพียรพยายาม
ที่จะทำให้สำเร็จผลสมประสงค์ ท่านบำเพ็ญตบะอยู่ที่ป่าดงดิบแห่งเทือกเขาหิมาลัยไม่สนใจเรื่องภาย
นอก หากใครมุ่งมั่นที่จะสร้างบารมีเดินไปในทางบำเพ็ญสมาธิฌาน ก็บอกกล่าวขอความสำเร็จจากท่าน
แล้วท่านก็จะต้องช่วยส่งเสริมเพิ่มเติมในความสำเร็จให้ทุกรายไป....

พระฤษีสุขวัฒน์
เป็นพระฤษีที่บำเพ็ญตบะอย่างเคร่งครัดอยู่ที่เชิงเขาไกรลาสท่านมุ่งมั่นบำเพ็ญเป็นเนืองนิตย์จนกระทั่งเกิดอภินิหารขึ้นมาบริเวณหน้าอาศรมของท่าน คืออยู่ดีๆก็มีต้นไผ่เกิดขึ้นและงดงามโตเร็ววันเร็วคืน จนกระทั่งมีความสูงเทียมเท่ายอดเขาไกรลาส พระฤษีก็เห็นเป็นสิ่งอัศจรรย์ เพราะว่าไม่
เคยมีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นมาก่อนเลย พระฤษีจึงไม่รอช้าจึงรีบตัดต้นไผ่นั้นแล้วนำขึ้นไปเฝ้าเพื่อถวายพระอิศวรด้วยเห็นว่าเป็นของแปลก
พระอิศวรทรงรับเอาไม้ไผ่นั้นไว้และทรงพอพระทับเป็นยิ่งนัก จึงนำเอาต้นไผ่นั้นมาทำเป็นคันธนู ประดิษฐ์ประดอยทำอย่างสวยงามเมื่อทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ทรงทดลองโก่งคันธนูด้วย กำลังของพระองค์ คันธนูนั้นก็ทานกำลังของพระอิศวรไม่ไหว จึงหักออกเป็นสองท่อนจึงทรงตกพระทัยและมีความเสียดายเป็นอย่างมากจึงหยิบเอาคันธนูท่อนปลายขว้างลงไปยังพื้นแผ่นดินแห่งมนุษย์ในบัดดลนั้นเองปลายธนูที่ตกลงมาถึงพื้นดินก็บังเกิดเป็นลิง ชื่อ นิลเกสรหรือชามพูวราช ขึ้นมาในบัดดลนั้นเอง ต่อจากนั้นพระอิศวรก็ยกต้นคันธนูขว้างลงไปยังแผ่นดินอีกด้วยเดชะแห่่งความศักดิ์สิทธิ์ต้นธนูก็พลันบังเกิดเป็น พญาอสูรชื่อว่า เวรัมภ์
เวลาผ่านไปนานพอสมควร วานรและอสูรทั้งสองที่เกิดขึ้นจากธนูไม้ไผ่ของพระอิิศวรต่างก็ขึ้นเฝ้าพระอิศวรและบังเอิญพบกันโดยมิได้นัดหมาย ต่างก็ดีใจที่ได้พบกันในฐานะที่มีกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกัน ทั้งวานรและอสูรก็มีความสัมพันธ์เสมือนหนึ่งว่าเกิดมาจากพ่อแม่เดียวกัน นานๆมาพบกันจึงดีใจเป็นของธรรมดา
องค์พระอิศวรผู้เป็นเจ้าได้ทรงทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าว่า ต่อไปวานรกับอสูรจะต้องเกิดการสู้รบกัน แต่แล้วฝ่ายวานรจะต้องเป็นฝ่ายมีชัย เพราะเกิดมาจากคันธนูท่อนปลาย ส่วนอสูรจะต้องพ่ายแพ้ก็เนื่องว่าเกิดจากโคนธนูนั่นเอง ในกาลต่อมาพระนารายณ์อวตารลงไปบังเกิดเป็นพระราม นิลเก
สรหรือชามพูวราช จึงเป็นพลลิงของพระราม ส่วนเวรัมภ์จอมอสูรจึงตกเข้าไปอยู่ในกลุ่มของทศกัณฑ์แห่งเมืองลงกา ในที่สุดก็ทำสงครามกัน ยักษ์แพ้ ลิงชนะ ตรงตามคำพยากรณ์ทุกประการ
ส่วนไม้ไผ่ที่พระฤษีนำเอามาถวายพระอิศวรได้ทำเป็นคันธนูนั้น ต่อมาก็ได้ตั้งชื่อต้นไผ่ชนิดนั้นว่าไผ่ษีสุข หรือ ไผ่ฤษีสุข ด้วยสาเหตุที่พระฤษีสุขวัฒน์เป็นผู้พบและนำมา เลยใช้ชื่อของพระฤษีนั้นเป็นชื่อไม้ไผ่นั้นไปเลย.....
พระฤษีสุขวัฒน์ สวมชฎาดอกลำโพงสีอิฐแดง....
พระฤษีปรเมศ (ไม่มีภาพ)
สำหรับชื่อของพระฤษีองค์นี้ก็คล้ายคลึงกับ พระอิศวรและพระพรหม คือ พระอิศวรจะใช้ตัวอักษรว่าปรเมศร์ แต่พระพรหมจะใช้อักษรว่า ปรเมศฎ์แต่องค์ที่จะแนะนำอยู่นี้ไม่มีตัวอะไรการันต์ทั้งนั้น พระฤษีองค์นี้ท่านได้บำเพ็ญตบะบารมีอยู่ที่ภูเขาตรีกูฏ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับท่านท้าววิรุฬหกมหาราช ซึ่งเป็นมหาราชหนึ่งในจำนวนสี่องค์ที่เป็นผู้ดูแลและครอบครองพระนครใหญ่ ทางด้านทิศใต้ของสวรรค์ชั้นที่ ๑
สวมชฎาดอกลำโพงบำเพ็ญพรตอยู่ที่เขาตรีกูฎ....
พระฤษีกาศยปมุนี (ไม่มีภาพ)
สำหรับพระฤษีองค์นี้ก็มีอิทธิฤทธิ์และบารมีสูงสามารถสร้างอภินิหารต่างๆได้ คาถาอาคมก็มีมากในเมื่อท่านมุ่งมั่นที่จะกระทำ ไม่ว่าสิ่งใดๆก็จะต้องได้สมกับความต้องการและมักจะสำเร็จผลทุกครั้งไปท่านนี้ก็ได้รับเกียรติจากท่านท้าวทศรถเชิญให้ท่านมาร่วมกระทำ พิธีอัศวเมธในครั้งนั้นด้วยอีกพระองค์
หนึ่ง ในจำนวนกลุ่มพระฤษีที่เก่งกล้าทั้งหมด ได้ผนึกแรงร่วมใจกันจึงบันดาลให้พิธีนี้สำเร็จสมความพระประสงค์ทุกประการ...

พระโคดมพรหมฤษี
ตามประวัติของพระฤษีองค์นี้เมื่อเริ่มแรกเดิมทีเป็นพระมหากษัติรย์ผู้ครอบครองเมืองสาเกตมีนามว่า ท้าวโคดม ได้สละสมบัติออกมาบวชเป็นพระฤษีบำเพ็ยตบะสร้างบารมีอยูในอาศรมกลางป่าท่านผ่านเรื่องร้ายๆมามากมาย มีอยู่ครั้งหนึ่งนกกระจาบสองผัวเมียซึ่งอาศัยทำรังอยู่ที่เคราของพระฤษีได้เกิดการทะเลาะกันนางนกกล่าวหาว่า สามีของตนแอบไปมีเมียใหม่ ฝ่ายนกกระจาบผู้สามีก็ได้กล่าวปฏิเสธพัลวัลแล้วได้เอ่ยปากพูดลามมาถึงพระฤษีโคดมว่า 'ถ้าหากฉันนอกใจเธอจริงๆขอให้บาปของพระฤษีโคดมทั้งหมดจงมาเป็นของฉันแต่เพียงผู้เดียวเถิด' เล่นเอาพระฤษีโคดม ที่กำลังนั่งหลับตาฟังเหตุการณ์อยู่เงียบๆถึงกับสดุ้งโหยง แล้วร้องถามออกไปดังๆว่า 'ฉะ..ชัดฉ้า..มันจะมากไปแล้ว นี่เจ้านกกระจาบตัวน้อยๆเจ้าอาศัยหนวดของข้าทำรังยังไม่พอยังจะมาลบหลู่ดูถูกกันอีกหรือหว่า' นกทั้งคู่เลยเลิกทะเลาะกัน นกตัวผู้คำนับพระฤษี 'หามิได้พระเจ้าข้า มิได้ลบหลู่ดูถูกแต่อย่างไร พูดไปแต่ความเป็นจริงทั้งนั้น' พระฤษีถึงกับเบิกตากว้างด้วยความสงสัย 'แล้วทำไมถึงว่าข้ามีบาปก็ข้าบำเพ็ญตบะมาตลอดและมิหนำซ้ำพวกเจ้ายังมาทำรังอยู่ในหนวดของข้า ก็ไม่ได้เสียค่าเช่า ยังจะหาว่าข้ามีบาปอีกหรือ' นกกระจาบจึงพูดต่อว่า'ก็ทำไมท่านจะไม่บาปล่ะเพราะท่านเป็นถึงพระราชาไม่มีปัญญาที่จะมีโอรสหรือธิดา สืบราชสมบัติต่อไปได้ ในการที่ท่านมาบวชเป็นพระฤษีอยู่ในป่าเช่นนี้ก็เป็นการเห็นแก่ตัวชัดๆที่ทำให้ต้องขาดวงค์ของกษัตริย์ ที่จะต้องปกครองบ้านเมืองสืบต่อไป นี่แหละคือสิ่งที่เป็นบาปและก็เป็นบาปหนักด้วย' เมื่อพระฤษีได้ฟังเช่นนั้น ก็นิ่งพิจารณาดูแล้วก็เห็นเป็นจริงตามคำที่นกกระจาบกล่าวหา
จึงทำให้เบื่อจากการเป็นพระฤษี หวังจะสึกออกไปครอบครองบ้านเมืองเหมือนอย่างเดิมแต่ครั้นจะย้อนกลับไปที่เมือง ก็ยังมีความละอายใจตนเอง จึงจัดตั้งพิธีบริกรรมหน้ากองไฟ จนกระทั่งได้บังเกิดนางงามขึ้นมานางหนึ่ง พระฤษีก็ดีใจตั้งชื่อให้นางนั้นว่า'นางกาลอัจนา' พระฤษีก็อยู่กับนางกาลอัจนาอย่างมีความสุขภายในอาศรมในป่านั่นเอง และต่อมานางได้ตั้ง
ครรภ์และคลอดออกมาเป็นผู้หญิงชื่อว่า นางสวาหะ นี่คือประวัติย่อๆของพระฤษีโคดม และท่านก็ได้ผ่านเรื่องร้ายๆมามากมายจนกระทั่งต้องเพิ่มตบะ
สร้างบารมีสูงสุดจึงได้บังเกิดเปฯ พระโคดมพรหมฤษี ตามความต้องการ พระฤษีองค์นี้ท่านก็มีความศักดิ์สิทธิ์และสามารถสาปผู้ใดให้เป็นอะไรก็ได้ตามปากประกาศิตของท่าน

พระฤษีพรหมจักร
สำหรับพระฤษีองค์นี้ก็เป็พระฤษีในชั้นพรหมอีกท่านหนึ่งที่มีทั้งฤทธิ์เดชาและศักดานุภาพมากมาย ทั้งอิทธิฤทธิ์และบารมีเวทย์มนต์คาถามหาวิเศษเก่งกล้าเป็นที่ยอมรับนับถือของชาวโลกทั้งหลาย จึงได้ชื่อว่าเป็นพระฤษีที่ยิ่งใหญ่ อีกพระองค์หนึ่ง ท่านมีความเมตตาธรรมสำหรับปวงชนทั่วไป
ไม่ชอบกลั่นแกล้งรบกวน รังแกซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ ท่านมีสัจจะเป็นที่ตั้ง คอยค้ำจุนโลกให้มีความร่มเย็นเป็นสุข
ดังนั้นพวกเราทั้งหลายก็ไม่ควรที่จะมองข้ามท่าน ควรที่จะกราบไหว้บูชากันให้ทั่วถึงด้วยดวงจิตที่มุ่งมั่นขอประทานพรและบารมีจากท่าน แล้วความสุขความเจริญก็จะบังเกิดกับผู้บูชาอย่างแน่นอน..
พระฤษีสิงขรณ์ (ไม่มีภาพ)พระฤษีสิงขรณ์
พระฤษีองค์นี้ท่านหนักในการบำเพ็ญตบะบารมีเป็นอย่างมาก ท่านไม่ค่อยวุ่นวายกับผู้ใดนักสำหรับอาศรมที่อยู่อาศัยนั้นอยู่ในป่าทึบ ไม่ค่อยมีเทวดาหรือมนุษย์เข้าไปรบกวน ท่านมุ่งมั่นไปในทางบารมีธรรมคิดหวังตั้งใจว่าจะต้องให้สำเร็จ เพื่อที่จะได้เลื่อนขึ้นไปอยู่ชั้นพรหมให้ได้ ในด้านจิตใจท่าน
ใจดีมากใครขออะไรก็ได้ คาถาอาคมของท่านก็ขลังและศักดิ์สิทธิ์มาก หากท่านผู้อ่านจะลองขออะไรจากท่านก็ลองดูนะคะ เพราะพระฤษีที่ใจดีนั้น บางทีเราขออะไรก็มักจะได้ โดยเราเองก็คาดไม่ถึงทุกอย่างในโลก มักจะมีอะไรที่คาดไม่ถึงเสมอๆ แหละค่ะ.....